ช่วยอธิบายเรื่องการแบ่งภาคทีครับ

ขอแบบละเอียดพร้อมกับอ้างอิงหลักฐานทางพระไตรปิกด้วยจะดีมากครับ เพื่อเป็นที่ศึกษากันต่อไป

เพราะผมเคยเถียงกับพระที่เป็นเพื่อนกันท่านจบ ประเรียนธรรม ๕ ประโยค (ปธ.๕) เรื่องการแบ่งภาคนี่แหละครับ เถียงกันไม่จบผมพยายามหาหลักฐานมาแย้งกับแก ไปค้นจากพระไตรปิฎกหลายเล่มแล้วแต่ยังไม่เจอ

ท่านใดมีข้อมูลแบบอ้างอิงได้ช่วยเอามา แบ่งปันความรู้กันนะครับ

ช่วยมาตอบของผมบ้างครับ

"ภิกษุเมื่อจิตมีความตั้งมั่นไม่หวั่นไหวแล้ว ก็น้อมจิตไปเพื่อที่จะเนรมิตกายที่
สำเร็จด้วยใจ ครั้นแล้วเธอก็เนรมิตกายขึ้นอีกกายหนึ่งจากกายนี้ได้ เหมือน

บุรุษชักไส้หญ้าปล้องจากต้นหญ้าปล้องนั้น"

ขอโทษทีครับ การแบ่งภาคคือการแบ่งแยกดวงจิตไม่ใช่หรือครับ การเนรมิตเป็นการกระทำด้วยของผู้มีฤทธิ์ชั้นโลกิยะฌาณ คือตั้งแต่อภิญญา๖ ขึ้นไปนะครับ ดัง นิทานธรรมบทใน ปธ.1-2 เรื่องจูฬปนฺถกตฺเถร วตฺถุ ใน ธมฺมปทฏฺฐกถา (ทุติโย ภาโค) เรื่องนี้อยู่หน้า๗๔ ครับ ส่วนเนื้อความที่ผมจะบอกนี้อยู่หน้า ๘๑-๘๒ เนื้อความตั้งแต่ บรรทัดที่๕ ย่อหน้าที่๑ ความว่า  ชีวโกปิ โข โกมารภจฺโจ ทสพลสฺส ทกฺขิโณทกํ อุปนาเมสิ. ไปจบที่ ตาวเทว สหสฺสมตฺตา ภิกขู. บรรทัดที่๔ หน้า๘๒  ความโดยย่อว่า

สมัยนั้น พระศาสดา ทรงเข้าอาศัยกรุงราชคฤห์ประทับ อยู่ในชีวกัมพวันสวนมะม่วงของหมอชีวก ในคราวนั้น พระมหาปันถกได้เป็นพระภัตตุเทสก์ผู้แจกภัต หมอ ชีวกโกมารภัจถือของหอมและดอกไม้เป็นอันมากไปอัมพวันของตน บูชาพระศาสดา ครั้นเมื่อฟังธรรมแล้วลุกขึ้นจากอาสนะ ถวายบังคมพระทศพลแล้วเข้าไปหาพระมหาปันถกถามว่า ท่านผู้เจริญ ในสำนักของพระศาสดา มีภิกษุเท่าไร ? พระ มหาปันถกกล่าวว่า มีภิกษุ ประมาณ ๕๐๐ รูป หมอชีวกกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พรุ่งนี้ ท่านจงพาภิกษุ ๕๐๐ รูปมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ไปรับภิกษาใน นิเวศน์ของผม พระเถระกล่าวว่า พระจุลลปันถกเป็นผู้เขลา มีธรรมไม่งอกงาม อาตมภาพจะนิมนต์เพื่อภิกษุที่เหลือ ยกเว้นพระจุลลปันถกนั้น

พระจุลปันถกะได้ฟัง คำนั้นก็โทมนัสเหลือประมาณ พระศาสดาทรงเห็นพระจุลลปัณถกะ ร้องไห้อยู่ ทรงดำริว่า จุลปันถกะเมื่อเราไปจักบรรลุอรหัต จึงเสด็จ ไปแสดงพระองค์ในที่ที่ไม่ไกลแล้วตรัสว่า ปันถกะ เธอร้องไห้ ทำไม

พระจุลลปันถกะกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระพี่ชายฉุดคร่าข้าพระองค์ออก ด้วยเหตุนั้น ข้าพระองค์จะไปด้วยคิดว่าจัก เป็นคฤหัสถ์ พระศาสดาตรัสว่า จุลลปันถกะ การบรรพชาของเธอชื่อว่ามีในสำนักของเรา เธอถูกพระพี่ชายฉุดคร่าออกไป เพราะเหตุไรจึงไม่มายังสำนัก ของเรา มาเถิด เธอจะได้ประโยชน์อะไรกับความเป็นคฤหัสถ์ เธอจงอยู่ในสำนักของเรา แล้วทรงพาพระจุลลปันถกะไป ให้พระจุลลปันถกะนั้นนั่งที่หน้ามุขพระคันธกุฏี ตรัสว่า จุลลปันถกะ เธอจงผินหน้าไปทางทิศตะวันออก จงอยู่ ในที่นี้แหละ ลูบคลำผ้าท่อนเก่าไปว่า รโชหรณํ รโชกรณํ ผ้าเป็นเครื่องนำธุลีไป ผ้าเป็นเครื่องนำธุลีไป แล้วทรงประทานผ้าเก่าอันบริสุทธิ์ซึ่งทรงเนรมิตขึ้นด้วยฤทธิ์

วันรุ่งขึ้น พระศาสดาเสด็จไปพร้อมกับภิกษุ ๕๐๐ ประทับ นั่งในนิเวศน์ของหมอชีวกโกมารภัจ ส่วนพระจุลปันถกะไม่ได้ไปเพราะตนไม่ได้รับนิมนต์นั่นเอง ขณะนั้น พระจุลลปันถกะคิดว่า พี่ชายของเราพูดว่า ในวิหารไม่มีภิกษุ เราจักประกาศความที่ภิกษุทั้งหลายมีอยู่ในวิหาร แก่พี่ชายของเรานั้น แล้วท่านก็นิรมิตภิกษุ ๑,๐๐๐ รูป ซึ่งเหมือนกันและกันอย่างนี้ทำให้อัมพวันทั้งสิ้นเต็มไปด้วยภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกหนึ่งทำการสาธยาย บางพวกทำบทภาณ บางพวกธรรมกถา บางพวกสวดสรภัญญะ ถามปัญหา แก้ปัญหา ย้อม ต้ม เย็บ ซักจีวรเป็นต้นมีประการต่างๆ

ครั้นถึงเวลาภัต ท่านชีวกโกมารภัจเริ่มถวายข้าวยาคู พระศาสดาทรงเอาพระหัตถ์ปิดบาตร หมอชีวกทูลถามว่า เพราะเหตุไร พระองค์จึงไม่ทรงรับพระเจ้าข้า ตรัสว่า ยังมีภิกษุอีกรูปหนึ่งในวิหาร ชีวก หมอชีวกจึงส่งบุรุษไปว่า พนาย จงไปนิมนต์พระคุณเจ้าที่อยู่ในวิหารมาที แม้พระจุลปันถกเถระเนรมิตภิกษุ ๑,๐๐๐ รูป ในเวลาใกล้ ที่บุรุษนั้นมาถึง ทำไมให้เหมือนกันแม้สององค์เดียว องค์หนึ่งๆ กระทำกิจของสมณะเป็นต้นว่า กะจีวรไม่เหมือนกับองค์อื่น ๆ บุรุษ นั้น เห็นภิกษุมีมากในวิหารจึงกลับไปบอกหมอชีวกว่า นายท่าน ภิกษุในวิหารนี้มีมากผมไม่รู้จักพระคุณท่านที่จะพึงนิมนต์มาจาก วิหารนั้น หมอชีวกจึงทูลถามพระศาสดาว่า ภิกษุอยู่ในวิหาร ชื่อไร พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า.ชื่อจุลปันถกะ ชีวก

หมอชีวกกล่าวกะบริวารของตนว่า ไปเถิดท่าน จงไปถามว่า องค์ไหนชื่อจุลลปัณถกะ แล้วนิมนต์มา

บุรุษนั้นกลับมายังวิหาร ถามว่า องค์ไหนชื่อจุลปันถกะ ขอรับ กล่าวว่า เราชื่อจุลปันถกะ เราชื่อจุลปันถกะ ทั้ง ๑,๐๐๐ รูป บุรุษนั้นกลับไปบอกหมอชีวกอีกว่า ภิกษุประมาณ ๑,๐๐๐ รูป ทุกองค์บอกว่า เราชื่อจุลปันถกะ ข้าพเจ้าไม่ทราบว่า จุลปันถกะ องค์ไหนที่ท่านให้นิมนต์ หมอชีวกทราบได้โดยนัยว่า ภิกษุมีฤทธิ์เพราะแทงตลอดสัจจะแล้วจึงกล่าวว่า เจ้า จงจับที่มือของภิกษุองค์ที่กล่าวก่อน บุรุษนั้นไปวิหารกระทำ อย่างนั้นแล้ว ในทันใดนั้น ภิกษุประมาณ ๑,๐๐๐ รูป ก็อันตรธาน ไป บุรุษนั้นพาพระเถระมาแล้ว พระศาสดาจึงทรงรับข้าวยาคู ในขณะนั้น.

เมื่อพระทศพลกระทำภัตกิจเสร็จแล้ว พระศาสดาตรัสเรียกหมอชีวกมาว่า ชีวก ท่านจงรับบาตรของพระจุลลปันถกะ พระจุลลปันถกะนี้จักกระทำอนุโมทนาแก่ท่าน หมอชีวกได้กระทำอย่างนั้น พระเถระกล่าวธรรมกถาอนุโมทนาภัตร พระเถระกล่าวธรรมกถามีประมาณเท่าคัมภีร์ ทีฆนิกายและมัชฌิมนิกาย แล้วพระพุทธองค์เสด็จกลับพระวิหาร

 

ข้อผู้รู้มาแบ่งปันข่าวสารกันบ้างนะครับ

.......................................ไม่มีใครมาแบ่งบันความรู้กันหน่อยเหรอครับ..........................................

ไม่มีใครมีหลักฐานอะไรมาแบ่งกันบ้างเหลอ

เริ่มต้นจากสัตว์ก่อนเลย  ปลาดาว มีหลายแฉก (4-5-6 แฉก)  หากแฉกแต่ละันถูกตัดออกไป  มันก็สามารถงอกออกมาเป็นปลาดาวได้ตามจำนวนแฉกที่หลุดออกไป ถ้าจะถามว่าแล้วจิตวิญญาณในปลาดาวตัวใหม่พวกนั้นมาจากไหน ก็มาจากตัวเดิมนั่นเอง ก็ตอนแยกออกไปมันยังไม่ตาย นี่ปลาดาวเก่งกว่าคนอีกนะ สามารถแบ่งร่าง จะว่าแบ่งภาคเป็นอีกตัวก็ได้ทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่  หากมองไปถึงบรรดาสิ่มีชิวิตเล็กๆ พวกสัตว์เซลล์เดียว สองสามเซลล์ พวกนี้ก็มีจิตมีวิญญาณเช่นกัน และสัตว์เล็กๆเหล่านี้ก็สามารถแบ่งเซลล์ของมันใ้ห้เป้นอีกตัวหนึ่งได้ เห็นไหมว่ามันทำได้ตั้งแต่สัตว์เล็กๆเลย แล้วทำไมมนุษย์จะทำไม่ได้ล่ะ 

          ถ้ามองแบบวิทยาศาสตร์ จิตวิญญาณก็เป็นพลังงานรูปแบบหนึ่ง หากเปรียบเหมือนอากาศ เราสามารถนำอากาศจากที่เดียวกันมาแบ่งใส่ขวดหลายๆขวดได้  จิตวิญญาณก็เช่นเดียวกัน ...............ทางวิทยาศาสตร์เขาบอกว่า หากระบบสุริยะจักรวาลระเบิดออกมาก็สามารถเกิดเป็นดวงดาวมากมายบนท้องฟ้าได้เช่นกัน เล็กลงมาอีก หากดวงอาทิตย์ระเบิดออกมาก็สามารถสร้างอุกบาตหรือดวงดาวเล็กๆได้เช่นกัน  ส่วนจิตวิญญาณ ซึ่งไม่ใช่ก้อนหินก้อนดิน ถ้ามันจะแตกออกมาจากหนึ่งเป็นล้านหรือมากกว่านั้นก็จะกลายเป็นจิตหลายๆดวง ซึ่งกลายเป้นคนโน้น คนนั้น คนนี้ นั่นเอง.....ระบบสุริยะยังมีดวงอาทิตย์เป้นเสมือนนายใหญ่ส่งแรงเหวี่ยงให้จักรวาลหมุนได้ฉันใด  จิตวิญญาณก็มีนายใหญ่ของจิต ที่คอยส่งแรงเหวี่ยงให้ระบบแห่งโลกสามนี้หมุนไปได้ฉันนั้น แน่นอนว่าตัวเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของแรงเหวี่ยงที่ขับเคลื่อนด้วยเช่นกัน จะด้วยความผิดพลาดหรือเจตนาก็ดี  การต้องดำเนินอยู่ในแรงเหวี่ยงโคจรกำเนิดชีวิต ภพ ชาิิติ กลับกลายเป็นความทุก์ มีเรื่องทุกข์มากมาย ผู้เป็นนายแห่งจิตจึงได้หาวิธีที่หยุดการโคจรของระบบนี้เพื่อปลดทุกข์ให้กับดวงจิตเป็นเสมือนลูกหลาน เพื่อน ให้หลุดจากระบบอันนี้เสีย   และวิธีหนึ่งที่ผู้เป็นนายแห่งจิตกระทำก็คือ  แบ่งภาค  หรือแบ่งจิตของตนออกมาเป้นหลายๆดวงจิต เพื่อส่งไปเวียนว่ายในภพภูมิเพื่อค้นหาวิธีปลดแอกจากวัตตะสังสาร   หลายคนสงสัยว่าแสดงว่าผู้เป็นนายแห่งจิตอาจรู้หรือไม่รู้วิธีแห่งอริยสัจสี่ เพื่อนำตนและผู้อื่นเข้าสู่นิพพาน จึงต้องทำการแบ่งภาคจิตของตัวเองเพื่อมาคนหาวิธี  ตรงนี้เป็นวิสัยของท่าผู้นั้นที่ไม่อาจทราบได้ แน่นอนว่าหากจิตยังคงถูกเรียกว่าพลังงานอย่างหนึ่ง เมื่อถูกแบ่งออกไปจำนวนมาก ย่อมสูญเสียพลังออกไปด้วย  แต่ด้วยสภาพแห่งพลังงานพิเศษนี้ อาจไม่มีอะไรที่เรียกว่าความสูญเสียก็เป้นได้   ต้องศึกษากันต่อไป  .....เรื่องราวหลังจากนี้ คิดว่าหลายๆท่านคงทราบดี หลังจากพระพุทธเจ้าได้บังเกิดขึ้นในจักรวาล  ท่านได้ชักนำสั่งส่อนจิตในภพภูมิต่างๆให้หลุดออกจากระบบโคจรแห่งนี้ แต่งานแบบนี้ยังไม่สามารถทำได้ในคราวเดียว  ยังคงมีจิตในจักรวาลต่างๆ ที่ยังคงพอใจ ยอมรับ และยังคงมีความสุขกับระบบแห่งนี้ ซึ่งหากจิตนั้นยอมรับแหะหลงไหลก็ยากที่จะดึงออกจากระบบได้  ธรรมแห่งการหลุดพ้นไม่ใช่การบังคับ แต่เป็นการทำให้เขาผู้นั้นยอมรับ มองเห็น ศรัทธา และเข้าใจด้วยตัวเขาเอง ดังนั้น หากยังมีจิตมากมายที่มีคติตรงข้ามกับะธรรมอันนี้ ก็ยังคงมีแรงเหวี่ยงของจักรวาลต่อไป......บางทีการทำลายให้สิ้นอาจทำได้ง่าย แต่ความทุกข์ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความเศร้าโศกเสียใจ จากสัตว์เล็กๆอย่างมดก็มีคุณค่าที่จะเยียวยาจิตใจ ชี้นำไปให้พบกับความสุขเช่นเดียวกันกับมนุษย์อย่างเราๆเช่นกัน....มาช่วยกันจบเรื่องนี้ด้วยความเมตตากันดีกว่า.....บางคนอาจคิดว่าตัวเองไม่มีความสำคัญ ไม่ได้มีความพิเศษอันใด  แต่ท่านจงอย่าลืมว่า  เราทุกคนได้เป้นส่วนหนึ่งของการสร้างแรงเหวี่ยงในวัตตะสังสารให้เกิดขึ้นด้วย การเวียนว่ายตายเกิดของเรา  นำมาซึ่งความทุกข์ ความสุข ทั้งกับตนเองและผู้อื่น  แค่จิตคิดร้ายก็ส่งผลไปถึงไหนแล้ว  ....เมื่อเห็นดังนี้ชัดแล้ว  จงใช้เมตตาธรรมเกื้อหนุนโลกกันเถิด.....

สิ่งไดที่เป็นปัจจัตตัง เราจำได้แต่เข้าใจได้ยาก ในได้แล้วหายสังสัยเองครับผม.