วัตถุอาถรรพ์ ธาตุกายสิทธิ์

เรื่องราวความอาถรรพ์และที่มาของเครื่องรางของขลังที่คนส่วนใหญ่ที่เชื่อเรื่องของโชครางต่างรู้จัก และพากันค้นหาอยากได้มาไว้ติดตัว และดิ้นรนอยากที่จะเป็นเจ้าของ เพื่อความโชคดีความแคล้วคลาดปลอดภัย หนังเหนียวหรือเพียงเพื่อความเป็นศิริมงคลหรืออะไรก็แล้วแต่ซึ่งเราเรียกของขลังเหล่านี้ว่า ธาตุกายสิทธิ์ ชึ่งมีทั้งที่มีต้นกำเนิดการได้มาจากตัวคน จากพืช และจากสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อีกมากมายฯลฯ

- อันดับแรกเราลองมารู้จักของกายสิทธิ์ที่เกิดขึ้นในตัวคนกันก่อน สิ่งเหล่านั้นได้แก่ ลูกอัณฑะทองแดง ตับเหล็กเคราทองแดง อากาศธาตุ และลูกกรอก

- ที่เกิดขึ้นในสัตว์ก็ คือ ช้องหมูป่า เขี้ยวหมูตัน ฟันเสือกลวง หนังหน้าผากเสือโคร่ง งากำจัด

- ส่วนที่อยู่ในพืช หรือเกิดจากพืช นิยมเรียกว่าคดเช่น คดขนุน คดมะพร้าว บางครั้งเรียกเฉพาะเจาะจงลงไป เรียกว่า กะลาตาเดียวกะลามหาอุด(ไม่มีตา) พญางิ้วดำ เป็นต้น สำหรับวัตถุอาถรรพ์ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจากสิ่งที่มีชีวิต มีอยู่จำนวนมาก พอสมควร

- ส่วนใหญ่เป็นพวกแร่ธาตุ อัญมณี ที่รู้จักกันดีก็คือ เหล็กไหล เหล็กน้ำพี้ ปรอท คดหิน คดดินต่างๆในบรรดาาเครื่องรางของขลังเหล่านี้นักไสยศาสตร์เชื่อว่าเป็นวัตถุอาถรรพ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ในตัว ไม่ต้องปลุกเสก ด้วยคาถาอาคมอะไร ก็นำมาใช้ำด้แต่ก็มีเหมือนกัน ที่มักจะนำมาลงคาถาอาคม กำกับอีกครั้งหนึ่งเพื่อเพิ่มความเข้มขลังให้เป็นทวีคูณ

- ความเป็นมาของช้องหมูป่ามีความเชื่อของที่มาแตกต่างกันออกไป บ้างเชื่อว่า ช้องหมูป่าเป็นเส้นขนพิเศษของหมูป่า ที่ขึ้นอยู่บริเวณตัวของหมูป่าโดยเฉพาะที่บริเวณหัว หรือหว่างคิ้วของมันมีความยาวเป็นพิเศษนักไสยศาสตร์เชื่อกันว่าเป็นของขลังชนิดหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์ด้านคงกระพันมหาอุด

- ส่วนอีกกลุ่มเชื่อว่า ช้องหมูป่า คือขนที่ยาวเป็นพิเศษของหมูป่า โดยเฉพาะหมูโทนซึ่งหมายถึงหมูตัวผู้ที่ชอบหากินอยู่ตัวเดียว อย่างทรนงมันจะมีขนเหนือสันหลังขึ้นมาถึงโหนกคอ ยาวเป็นพิเศษเหมือนหางเปียย้อยลงมาตรงหน้าผาก ยาวจนถึงปากของมันหมูป่าจะคาบช้องของมันเอาไว้ตลอดเวลา โดยพันเอาไว้กับเขี้ยวด้านหนึ่งเชื่อกันว่าช้องหมูป่าแบบนี้มีความคงกระพันมหาอุดคุ้มครองทั้งหมูที่เป็นเจ้าของช้องและคนที่มีช้องของหมูป่าไว้ครอบครอง ส่วนความเชื่อของกลุ่มหลังสุดนี้พิศดารน่าสนใจมาก เชื่อกันว่าช้องหมูป่า เป็นขนที่ขึ้นอยู่บริเวณลูกอัณฑะของหมูป่าหรืออาจเรียกว่าขนเพชรหมูป่าก็น่าจะได้จัดเป็นขนลักษณะพิเศษเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วหมูป่าโทนที่ชอบออกหากินตัวเดียวไม่เกรงกลัวใคร จะใช้ปากและฟันเลียและกัดขนชองมันมาไว้ในปากตวัดและเคี้ยวด้วยน้ำลาย จนขนรวมตัวกันเป็นวงหรือขมวดกลมๆ หรือวงแหวนหมูจะรักษาขนนี้ไว้ในปากตลอดเวลาไม่ว่าจะกินอะไรมันก็จะซ่อนไว้ในปากได้ อย่างประหลาดหมูป่าตัวนั้นจะมีความอยู่ยงคงกระพันเป็นมหาอุดตลอดเวลาที่มันมีขนนั้นอยู่ในปาก ลูกกระสุนปืนนายพรานจะไม่สามารถทำอะไรมันได้ ดังนั้นพรานป่า นักล่าทางไสยศาสตร์จึงต้องคอยติดตามหมูตัวที่ต้องการไป คอยจนมันกินน้ำ ตอนกิน น้ำนี่เองที่หมูป่าจะคายขน หรือช้องหมูป่าออกมาวางไว้บนโขดหินบ้าง บนขอนไม้บ้างเพื่อให้มันได้กินน้ำอย่างสะดวก พอมันคายช้องหมูป่าออกมาแล้วนายพรานก็จะยิงหมูตัวนั้นได้แล้วจึงค่อยไปเก็บเอาช้องหมูป่าเอามาเป็นเครื่องรางของขลังติดตัวกันเชื่อกันว่าจะทำให้ปืนยิงไม่ออก หรือยิงไม่เข้า แต่ต้องพกติดตัวไว้ตลอดห่างแค่คืบ แค่ศอกก็จะไม่สามารถคุ้มครองป้องกันได้

- ตับเหล็ก ทางภาคกลาง และทางภาคเหนือเรียกว่าตับทองแดง เล่ากันว่าตับเหล็ก หรือตับทองแดงนี้ จะไม่ไหม้ไฟคือศพของคนที่มีตับเหล็กนี้ตับจะไม่ไหม้ไฟจะเหลือตับเหล็กไว้ให้ถือเป็นของขลังชนิดหนึ่งตับเหล็กหรือเคราทองแดงนี้เชื่อกันว่าเป็นของขลังที่สามารถ เกิดขึ้นกับร่างกายของคนที่ มีอาคมแก่กล้า มีคาถาอาคม เสกว่านยากินเป็นประจำทำให้ตับเป็นเหล็ก หรือเคราเป็นทองแดงใช้มีดโกนไม่เข้าก็มีแต่ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าเกิดขึ้นเองได้ แต่ไม่ได้มี หรือเกิดขึ้นได้กับทุกคนนานๆจะพบเห็นกันซะที

- งากำจัด เป็นวัตถุอาถรรพ์ที่ได้ยินกันบ่อยๆแต่เป็นของที่หายากมากๆ งากำจัดนี้ หมายถึง งาช้างที่หักคาต้นไม้เป็นงาชองช้างตกมัน หรือช้างเกเร อารมณ์ร้ายและมีฤทธิ์เดชมากเมื่ออาละวาดหนักเข้า ก็จะเอางาของตัวเองแทงต้นไม้ใหญ่ จนงาหัก คาต้นไม้คนที่ไปพบเข้าก็จะนำเอามาทำเป็นเครื่องรางของขลังเชื่อกันว่ามีอิทธิฤทธิ์มีอำนาจ ที่จะป้องกันได้ในทุกทาง แต่ต้องระวังให้ดีเพราะของปลอมมีมาก จนหาของจริงไม่เจอส่วนใหญ่แล้วหากได้งาจำกัดมาคนก็มักจะนำไปให้อาจารย์ ที่มีวิชาอาคมขลังแกะเป็นเครื่องรางของขลัง นิยม นำมาทำด้ามมีดหมอ

- คด ยอดคงกระพัน ในส่วนของพืช เครื่องรางของขลัง ที่มีผู้นิยมกันมากๆคือ คด มีลักษณะเหมือนหิน เช่นคดขนุน และคดมะพร้าวที่มีผู้ต้องการมากคือ คดขนุนที่กลายเป็นหิน ซึ่งจะให้คุณทั้งด้านความคงกระพัน แคล้วคลาด และเมตตามหานิยมปัจจุบันมีผู้ทำของปลอมออกมาโดยเอาหิน เอากรวดสวยๆ มาเจียระไน ตบแต่งเป็นคด หลอกขายกัน

- อากาศธาตุ หรือฟันอาถรรพ์ ของขลังที่หายากอีกอย่างหนึ่ง อากาศธาตุ หมายถึง ฟันคน ที่ขึ้รอยู่บนเพดานปาก แทนที่จะขึ้นอยู่บนเหงือก เหมือนคนปกติทั่วไปใครมีฟันแบบนี้ ย่อมคงทนต่ออาวุธทั้งปวงฟันบนเพดานปากนี้จะขึ้นเองตามธรรมชาติเมื่อขึ้นมาแล้วจะไม่ผุไม่กร่อนเหมือนซี่อื่นๆ จะมีความคงทนและอยู่กับเจ้าของไปตลอด และห้ามบอกใคร เพราะอาจจะโดนทุบและยึดฟันไปทำของขลังได้อิอิ

ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกท่าน และ คุณหนุ่มเมืองแกลง

อาถรรพเวทย์ในคัมภีร์ไสยศาสตร์ แยกออกเป็น 2 นิกาย คือ
1
นิกายขาว White magic เป็นวิชาที่ใช้ในทางดี คือ ช่วยเหลือมนุษย์ให้มีความปลอดภัยและมีความสุข
2
นิกายดำ Black magic เป็นวิชาที่ใช้ในทางชั่ว คือ ทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น

ลัทธิไสยศาสตร์ คือ การรวมอำนาจจิต ซึ่งได้รับการอบรมและฝึกฝนให้มีความยึดมั่นเชื่อถืออย่างจริงจัง ดำเนินการไปตามหลักของไสยศาสตร์ ก็จะสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ได้ ด้วยกระแสคลื่นแห่งพลังอำนาจจิตอันแรงกล้า ของมโนสมาธิ จิตตานุภาพ จึงเป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่

ตามหลักของศาสนาพุทธผู้บำเพ็ญตนทางวิปัสสนาญาณ ได้ฌานสมาบัติแล้ว ก็สามารถแสดงปาฎิหารย์ได้ตามภูมิของตนเมื่อครั้งพุทธกาล พระเถรเทวทัต ผู้สำเร็จรูปฌาน ก็ยังสำแดงฤทธิ์ปาฎิหารย์จำแลงแปลงกาย ให้พระเจ้าอชาตศัตรูราชกุมารทรงเลื่อมใสได้
ส่วนอารมณ์ของรูปฌานนั้น ใช้กสิณบ้าง ใช้คาถาอาคมบ้าง หรืออย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้เกิดพลังจิตอันแน่วแน่ เป็นหนึ่งเดียวเพื่อสำเร็จกิจในการสำแดงอิทธิปาฎิหารย์ต่างๆ

แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านมิได้ทรงปฎิเสธเสียทีเดียวว่า การกระทำฤทธิ์แสดงปาฎิหารย์นั้นเป็นสิ่งไม่บังควรแต่พระองค์ยังทรงยกย่องอิทธิปาฎิหารย์บ้างเหมือนกันดังจะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าทรงใช้ให้พระโมคคัลลาเถระไปทรมานบุคคลต่างๆที่มีทิษฐิมานะแรงกล้า ด้วยการแสดงฤทธิ์อิทธิวิธีให้ยอมจำนนได้แต่การใช้อิทธิวิธีต่างๆ ไม่ใช่หนทางแห่งความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฎสงสาร ได้ ถึงแม้จะสำแดงฤทธิ์ได้ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวงจรแห่งความทุกข์อยู่ดี

วิชาวิปัสสนากรรมฐาน ได้เจริญท่ามกลางพระภิกษุสงฆ์ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายาน มีพระคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญสั่งสอนเวทมนต์ต่างๆ ได้แก้ไขดัดแปลงวิชาไสยศาสตร์ โดยการคัดเอามนต์ต่างๆของพราหมณ์ออก นำเอาพระพุทธมนต์ของพระพุทธเจ้าใส่แทน และปะปนกับมนต์ของพราหมณ์บ้าง โดยถือว่ามนต์ของพราหมณ์ยังมีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์อยู่ แต่ก็ยังเชื่อว่าพระพุทธมนต์ของพระพุทธเจ้าจะต้องมีอานุภาพมากกว่ามนต์ของพราหมณ์ จึงได้ทำการร้อยกรอง แล้วนำไปใช้ในวิชาไสยศาสตร์ ปรากฎว่า ได้ผลดียิ่งจึงได้มีการร่ำเรียนสืบต่อกันมาจนตราบเท่าทุกวันนี้

ไสยเวทย์เกี่ยวพันกับโหราศาสตร์อย่างไร

การสะเดาะเคราะห์ มีประวัติสืบมาตั้งแต่พุทธกาล มีเรื่องอยู่ในตำนานพระปริต และเมตตาสูตร และมีนิทานวัตถุปรากฎอยู่ในอรรถกถาธรรมบท ตอนสหัทสุวรรค กล่าวเนื่องด้วย "อายุวัฒนะกุมาร" อย่างไรก็ดี เรื่องบูชาเทวดานพเคราะห์ ซึ่งคาถาสวดทั้งฝ่ายพระพุทธศาสนา และทางไสยศาสตร์เจือกันนั้น ยัญญพิธีใดๆ อันเป็นคติทางพุทธศาสนา บัณฑิตทั้งหลายย่อมถือเอาทางที่ชอบ ซึ่งสำเร็จเป็นทานศีลภาวนา และละเว้นเสียจากกรรมอันเป็นบาป มีการฆ่าสัตว์บูชายันต์เป็นต้น

ไสยศาสตร์มีความเกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์อย่างไร และมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์หรือไม่ ในการแสดงปาฐกถาพิเศษโดย อ.เทพย์ สาริกบุตร ณ.สมาคมโหรแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2504 มีความว่า

ก่อนอื่นขอให้ได้โปรดทำความเข้าใจกันให้ถ่องแท้ ในความหมายของคำว่า "ไสยศาสตร์" เสียก่อนว่า ไสยศาสตร์ แปลความหมายได้ว่า เป็นลัทธิอันเนื่องด้วยการใช้เวทมนต์คาถาในศาสนาพราหมณ์ ตามลัทธิพราหมณ์นั้น เขาแบ่งพระเวทของเขาไว้ 3 ประการ เรียกว่า "ไตรเภท" อันได้แก่
1 มฤคเวท เป็นคำฉันท์สำหรับสวดอ้อนวอนเทพเจ้า
2 ยชุรเวท เป็นคำร้อยแก้วใช่ท่องในเวลาบูชาบวงสรวงเทพเจ้า
3 สามเวท เป็นคำฉันท์ใช้สวดในพิธีถวายน้ำโสม

พระเวททั้งสามนี้ เขาถือว่าเป็นศรุติ คือ ได้ยินและได้รับมาจากพระโอษฐ์ของพระผู้เป็นเจ้าเอง มิได้เขียนและแต่งตั้งขึ้นโดยลำพัง ต่อมาภายหลังได้เพิ่มพระเวทขึ้นอีกคัมภีร์หนึ่ง เรียกว่า "อาถรรพเวท" เป็นคัมภีร์ที่ประกอบด้วยคาถาอาคม เรียกร้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ตลอดจนวิญญาณภูตผีให้ช่วยเหลือให้พ้นภัย หรือสาปแช่งให้มีอันเป็นไปได้ตามใจปรารถนา

ย่อมเป็นที่ทราบกันอยู่ทั่วไปแล้วว่า ชาวไทยเรานั้นนอกจากจะมั่นคงในบวรพุทธศาสนาแล้ว ยังยึดถือมั่นในคติประเพณีที่มาจากศาสนาพราหมณ์อีกประการหนึ่งด้วย และพระพุทธศาสนาของเรานั้น พื้นฐานเดิมก็มาจากศาสนาพราหมณ์นั่นเอง แต่เดิมพุทธศาสนิกชนเรานั้น มั่นคงเลื่อมใสอยู่ในศาสนาพราหมณ์มาก่อน ครั้นต่อมาภายหลังจึงหันมาเลื่อมใสในพุทธศาสนา แม้ว่าการเชื่อถือในศาสนาพราหมณ์จะค่อยๆเลือนหายไปจากการเชื่อถือศรัทธา แต่ทว่า ก็ยังคงเหลือควันหลงเอาไว้ มิได้หมดสิ้นไปทีเดียว ยังคงนับถือปฎิบัติควบกันไปจนกระทั่งในปัจจุบันนี้ เรามิอาจจะแยกกันให้ออกไปได้ว่า อย่างใดเป็นพราหมณ์ อย่างใดเป็นพุทธ พระพุทธศาสนาแพร่ไปถึงไหน ก็มีคตินิยมในศาสนาพราหมณ์แผ่ตามไปด้วย

ตามธรรมชาติของมนุษย์เรานั้น เป็นผู้มีจิตใจสูง เมื่อเกิดทุกข์ภัยขึ้นก็ย่อมเสวงหาที่พึ่งที่อาศัย เพื่อให้รอดพ้นจากทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้น เหตุใดมนุษย์เราจึงจำต้องหาที่พึ่ง เรื่องที่พึ่งนี้มนุษย์เราได้ค้นคว้าหากันมาแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว เพราะมนุษย์เราตั้งแต่เริ่มเกิดมา ก็พกเอาความกลัวประจำติดตัวมาด้วย ความกลัวของมนุษย์มีมากเท่าไร เป็นเหตุให้แสวงหาที่พึ่งมากเท่านั้น ในที่สุดแม้กระทั่งต้นไม้และภูเขาก็กลายเป็นที่พึ่งของมนุษย์เราได้ตามเหตุการณ์ สำหรับที่พึ่งกล่าวตามลัทธิพุทธศาสนานั้น ที่พึ่งที่ดีอย่างแท้จริงและมั่นคงนั้น ได้แก่ พระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า จัดว่าเป็นที่พึ่งอันดีเลิศ สามารถช่วยให้หมดทุกข์หมดภัย ตามข้อความในพุทธภาษิตยืนยันเอาไว้ว่า

พาหุง เว ยันติ........................ปัพพะตานิ วะนานะ จะ
อารามะรุกขะ เจตยะนิ..............มะนุสสา ภัยตัชชิตา
เนตัง โข สะระณัง เขมัง........... เนตัง สะระณะ มุตตะมัง
เนตัง สะระณะ มาคัมมะ............สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ

พวกมนุษย์ถูกภัยคุกคาม พากันยึดถือวัตถุเป็นอันมาก คือ ภูเขาทั้งหลายบ้าง ป่าไม้ทั้งหลายบ้าง อารามพฤกษาและเจดีย์ทั้งหลายบ้าง เป็นสรณะที่พึ่ง วัตถุมีภูเขาเป็นต้นนั้น มิใช่ที่พึ่งอันปลอดโปร่ง มิใช่ที่พึ่งอันสูงสุด มนุษย์จะมาพึ่งภูเขา ว่าเป็นสรณะที่พึ่งแล้ว จะพ้นจากทุกข์หาได้ไม่

โย จะ พุทชัช จะ ธัมมัญ จะ สังฆัญ ตะ สะระณัง คะโต
จัตตาริ อะริยะ สัจจานิ สัมนะปัญญายะ ปัสสะติ
ทุกขัง ทุกขะ สะมุบปาทัง ทุกขัสสะ จะ อะติกกะมัง
อะริยัญ จัฎฐังคิกัง มะคะคัง ทุกขูปะสะมะคามินัง
เอตัง โขสะระณัง เขมัง เอตัง สะระณะมุต ตะมัง
เอตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ

ส่วนบุคคลใดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะที่พึ่ง บุคคลนั้นย่อมเห็นอริยสัจจ์ทั้ง 4 คือ ทุกข์เหตุเป็นแดนเกิดขึ้นพร้อมแห่งทุกข์ การก้าวล่วงทุกข์เสียได้ และหนทางมีองค์ 8 ที่ได้ดำเนินถึงความดับทุกข์ได้ด้วยปรีชาอันชอบ พระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้า เป็นต้น และเป็นที่พึ่งอันปลอดโปร่ง เป็นสถานที่พึ่งอันสูงสุด มนุษย์มาถึงพระพุทธเจ้า เป็นต้นว่า เป็นสรณะที่พึ่งแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ได้

ด้วยเหตุตามที่กล่าวนี้ ท่านโบราณคณาจารย์จึงได้หาทางดับความหวาดกลัว อันเป็นสัญชาตญาณประจำตัวของมนุษย์เราทุกคน ด้วยการผูกประพันธ์คาถาคำสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยด้วยประการต่างๆ เพื่อให้เรารำลึกถึงมั่นคงอยู่ในพระคุณพระรัตยตรัย จะได้เป็นเครื่องคุ้มภัยระงับอันตรายทั้งปวง เป็นมูลเหตุให้เกิดการใช้คาถาบริกรรมภาวนาขึ้น

ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า คติประเพณีที่พุทธศาสนิกชนไทยเรายึดมั่นปฎิบัติมานั้น มีทั้งลัทธิทางพุทธศาสตร์และไสยศาสตร์ของพราหมณาจารย์ระคนปะปนกันอยู่ เมื่อท่านโบราณคณาจารย์ได้ริเริ่มประพันธ์คาถาสำหรับระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย เพื่อใช้ระงับความหวาดกลัวและอันตรายต่างๆ วิธีการดังกล่าวนี้ได้เจริญแพร่หลายมากขึ้น หนักเข้าก็หันไปคิดดัดแปลงแก้ไขคาถาอาคม หากแต่ได้ตัดเอามนต์ของพราหมณ์ออกทิ้งไป โดยบรรจุพระพุทธมนต์เข้าไปแทน เพราะเห็นว่า แม้มนต์ของพราหมณ์จะมีอานุภาพมากมาย ถ้าหากเป็นพระพุทธมนต์จะต้องมีอานุภาพมากยิ่งขึ้นกว่าเป็นแน่ เช่น การเป่า ปลุกเสก
ลงเลขยันต์ ในปัจจุบันนี้ เดิมทีเป็นลัทธิทางไสยศาสตร์ของพราหมณ์

ครั้นต่อมาได้ดัดแปลงเอาพุทธมนต์เข้าไปแทน เมื่อปฎิบัติกระทำเข้าได้รับผลเป็นที่พึงพอใจ ความนิยมนับถือจึงได้แพร่หลายจนถึงทุกวันนี้ ฉะนั้นจึงขอได้โปรดทำความเข้าใจไสยศาสตร์ยุคปัจจุบันนี้ เฉพาะที่ใช้อยู่ในประเทศไทยเรานั้น เราต้องอาศัยเค้าโครงมาจากไสยศาสตร์ของพราหมณ์มาแต่ครั้งเดิมเท่านั้น ส่วนเนื้อแท้ที่จริงก็คือ มาจากพุทธศาสตร์นั่นเอง มิใช่ไสยศาสตร์ที่ใช้กันในลัทธิพราหมณ์ เป็นสิ่งที่พึงควรเคารพ หาใช่สิ่งเหลวไหลที่เข้าใจกันไม่ และเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ เพราะเป็นสิ่งที่สามารถระงับความกลัว อันมีประจำอยู่ในกายมนุษย์เราทุกคนให้สูญสิ้นไปได้

ปัญหาขั้นต่อไปก็คือ ไสยศาสตร์เกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์อย่างไร สำหรับปัญหาในเรื่องโหราศาสตร์และไสยศาสตร์นั้นเป็นเรื่องที่มีส่วนสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น เพราะศาสตร์ทั้ง 2 นี้เป็นของพราหมณ์นำมาเผยแพร่พร้อมกัน การศึกษาวิชาโหราศาสตร์โดยเฉพาะอย่างวิชาโหรในระบบนิรายนะ ซึ่งได่แพร่หลายในกลุ่มภารตะ ไทย พม่ามอญ เขมร ฯลฯหลักวิชาส่วนใหญ่ที่ใช้ศึกษากัน พอจะอนุมานได้เป็นหลักใหญ่ๆรวม 3 ประการด้วยกัน คือ

ประการที่ 1 ได้แก่ ภาคคำนวณ ก็ได้แก่การศึกษาการคำนวณการโคจรของดาวเคราะห์ตามคัมภีร์สุริยาตร์คำนวณหาจุดอุปราคาตามคัมภีร์สารัมภ์ ฯลฯ
ประการที่ 2 ได้แก่ ภาคพยากรณ์ คือ การศึกษาในการพยากรณ์ดวงชะตาของบุคคลพยากรณ์ความเป็นไปของบ้านเมือง
ประการที่ 3 ได้แก่ ภาคพิธีกรรม คือ เมื่อพยากรณ์ดวงชะตาดูแล้วเห็นว่าอยู่ในเกณฑ์ที่มีเคราะห์ร้าย ก็จัดพิธีกรรม สะเดาะพระเคราะห์ให้หรือเมื่อคราวจะเปลี่ยนเทวดามหาทักษาตามคัมภีร์ทักษาพยากรณ์ก็ประกอบพิธีส่งเทวดาองค์ที่จะหมดหน้าที่เสวยอายุและประกอบพิธีรับเทวดาองค์ที่จะเข้ามาเสวยอายุใหม่ ในกาลกำหนดฤกษ์มงคลเมื่อกำหนดได้แล้วก่อนจะเริ่มกระทำ ก็ต้องมีการบูชาฤกษ์ พิธีกรรมเหล่านี้เป็นหน้าที่ของโหรจะต้องเป็นผู้จัดทำทั้งนั้น

พิธีการที่จัดทำก็จัดโดยนำวิธีการไสยศาสตร์มาใช้ซึ่งเป็นเครื่องชี้ชัดว่า โหราศาสตร์กับไสยศาสตร์ มีส่วนสัมพันธ์กันแน่นแฟ้นจริงๆ
ผู้เรียนวิชาโหราศาสตร์เจนจบหรือเรียกกันว่าโหรนั้น แต่เดิมมาก็ได้แก่พวกพราหมณ์ปุโรหิตต่อมาเมื่อมีการพระราชทานบรรดาศักดิ์กันขึ้นพราหมณ์ปุโรหิตซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มพวกโหร ได้รับพระราชทานทินนามบรรดาศักด์เป็นที่ "พระยาโหราธิบดี" ซึ่งแปลว่า อธิบดีของพวกโหรนั่นเอง แต่ตำแหน่ง "โหราธิบดี" นี้เป็นตำแหน่งพิเศษผิดแผกกว่าตำแหน่งอื่นของพวกพราหมณาจารย์ เพราะเหตุว่าตำแหน่งของพวกพราหมณ์นั้น มักจะสืบช่วงกันในสายสกุล เช่น พวกพราหมณ์พิธีอันได้แก่ตำแหน่ง "พระมหาราชครูพิธี" เมื่อบิดาสิ้นไปบุตรก็ได้รับทายาทครองตำแหน่งสืบทอดช่วงแทน นอกจากจะมีเหตุสุดวิสัยจริงๆ จึงจะเปลี่ยนสายสกุลอื่นขึ้นเป็นแทน

สำหรับตำแหน่ง โหราธิบดีนั้นจะรับช่วงทายาทกันได้ก็ต่อเมื่อมีความรู้ ความสามารถพอแก่การจริงๆจึงจะเป็นได้ถ้าปราศจากองค์คุณสมบัติ ถึงแม้จะเป็นบุตรก็รับสืบทอดช่วงมิได้และโดยปกติแล้วผู้ที่เป็น "พระยาโหราธิบดี" ทุกท่านได้เปิดการอบรมสั่งสอนกุลบุตรให้ได้มีโอกาสเล่าเรียนวิชาโหร โดยมิได้เลือกว่าผู้ที่อยู่ในตระกูลพราหมณ์หรือตระกูลไทย ต้องการแต่จะเลือกเฟ้นเอาผู้มีความรู้ความสามารถจริงๆว้แทนตัว ฉะนั้นตำแหน่ง "โหราธิบดี"ต่อมาภายหลังจึงได้เปลี่ยนจากพราหมณ์เป็นไทยเพราะเหตุที่มีคุณสมบัติพอที่จะปฎิบัติการได้

การประกอบพิธีกรรมในหน้าที่โหรซึ่งแต่เดิมมามีพราหมณาจารย์เป็นผู้ประกอบพิธีดำเนินหลักการไปตามลัทธิไสยศาสตร์ของพราหมณ์ คือมีการกระทำยัญญกิจพิธี ฆ่าสัตว์บูชายันต์ เมิ่อวิชานี้ได้แพร่ถึงเมืองไทยและมีคติทางพระพุทธศาสนาเข้ามาเจือปนอยู่ด้วย ประกอบทั้งท่านที่ทำหน้าที่โหรก็เป็นคนไทยเป็นส่วนมาก พิธีการทางไสยศาสตร์ดั้งเดิมของพราหมณ์จึงถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ถูกกับกาลเทศะเพราะคติทางพุทธศาสนาเราหลีกเลี่ยงการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
พิธียัญญกิจแต่ดั้งเดิมจึงสลายไปคงเหลือแต่เพียงบางส่วนเท่านั้นมิใช่กระทำไปตามพิธีไสยศาสตร์ของพราหมณ์โดยแท้จริงก็หาไม่

ในเรื่องการสะเดาะพระเคราะห์เหล่านี้มีบางท่านอาจจะเห็นว่าเป็นสิ่งเหลวไหลไร้สาระ ความจริงนั้นแม้ในพระพุทธศาสนาเราก็ยกย่องรับรองว่าเป็นจริง เพราะสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองยังโปรดให้ชีวิตมนุษย์และเทวดา ที่ถึงคราวชะตาขาดได้มีชิวิตอยู่ยั่งยืนตลอดไปซึ่งจะขอยกมาเป็นอุทาหรณ์สัก 2 เรื่องดังนี้ คือ

เรื่องที่ 1
เมื่อคราวสมเด็จพระพุทธองค์ เสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาในชั้นดุสิตมีเทพยดาองค์หนึ่งชื่อว่า "สุปติฎฐิตเทพบุตร"ซึ่งเป็นเทพบุตรที่ถึงคราวจะต้องจุติจากสวรรค์มีความอาลัยมิอยากจะจากสวรรค์ลงมาเกิดเลยพระอินทร์ก็สงสารจึงได้ทรงกราบทูลขอความอนุเคราะห์จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้โปรดทรงเอื้อเฟื้อต่อสุปติฎฐิตเทพบุตร เพราะอีก 7 วันจะสิ้นอายุในเมืองสวรรค์แล้ว พระพุทธเจ้าจึงทราบโปรดประทานอุณหิสวิชัยคาถาให้สุปติฎฐิตเทพบุตรเพื่อต่ออายุด้วยอานุภาพที่สุปติฎฐิตเทพบุตรได้เจริญอุณหิสวิชัยคาถาก็กลับเจริญต่อไปได้อีกสองพุทธธันดร

เรื่องที่ 2

เป็นเรื่องของกุมารคนหนึ่ง ซึ่งพราหมณาจารย์ได้พยากรณ์ชะตาชีวิตไว้ว่าจะถึงแก่ความตายในระยะ 7 วัน นับแต่วันพยากรณ์ไป บิดามารดาของกุมารนั้นอ้อนวอนให้พราหมณาจารย์หาทางแก้ไขให้กุมารผู้เป็นบุตรนั้น ให้รอดชีวิตอยู่สืบต่อไปพราหมณาจารย์ผู้นั้นก็หมดปัญญาที่จะกระทำ จึงได้แนะนำให้ไปเฝ้าพระพุทธองค์พระพุทธองค์ก็ทรงโปรดพยากรณ์ว่า กุมารนี้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก 7 วันบิดามารดากุมารนั้น จึงกราบทูลขอให้ทรงพระกรุณาอนุเคราะห์เพื่อช่วยให้กุมารได้เจริญชนมายุต่อไป

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงโปรดประทานพระคุณแต่กุมารนั้นโดยทรงแนะนำให้บิดามารดาของกุมารไปจัดที่ๆเหมาะสมให้กุมารนั้นนอนแล้วนิมนต์พระสงฆ์ไปสวดพระปริตตลอดทั้ง 7 วัน 7 คืน พระองค์ก็ทรงเสด็จไป ณที่นั้นด้วย ขณะที่พระพุทธองค์เสด็จไปหมู่เทพยดาก็พากันมาแวดล้อมอยู่อย่างแน่นขนัดหาที่จะประมาณมิได้ ในวันถ้วนคำรบ 7 วัน มียักษ์ตนหนึ่งชื่อว่าอสุอวรุทธโก ได้มุ่งมาเพื่อจะเอากุมารนั้นไปกินแต่ครั้นเมื่อมาใกล้ที่กุมารนั้นอยู่ ก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้กุมารได้เพราะเกรงแก่พุทธอำนาจและอานุภาพพระปริต กุมารนั้นจึงรอดพ้นภัยไปบิดามารดาจึงขนานนามว่า "อายุวัฒณกุมาร" ภายหลังเมื่อเติบใหญ่ขึ้นก็ได้เป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา

การที่ยกอุทาหรณ์มาประกอบนี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า ในการประกอบพิธีสะเดาะพระเคราะห์โดยอาศัยวิธีการทางไสยศาสตร์นั้น ทางพระพุทธศาสนาเราก็มีเหมือนกันเฉพาะอย่างยิ่งที่ได้ปฎิบัติทำกันอยู่ทุกวันนี้เนื้อแท้ที่จริงนั้นกระทำขึ้นโดยอาศัยพุทธานุภาพ และพระปริตเป็นส่วนใหญ่เพราะเหตุไสยศาสตร์ตามลัทธิพราหมณ์ แต่ดั้งเดิมนั้นได้สลายตัวไปแล้วโดยมีพุทธศาสตร์เข้าไปแทรกอยู่แทนที่แต่อาศัยชื่อของไสยศาสตร์คงไว้เท่านั้นเอง

การบวงสรวงเทวดา

ในเรื่องการบวงสรวงบูชาเทวดาอันเป็นคติประเพณีตามลัทธิไสยศาสตร์ แต่ในทางพุทธศาสนาเราก็มิได้ปฎิเสธว่าเทวดาเป็นสิ่งที่ไม่มีจริง ยังคงได้รับคำรับรองว่าเป็นสิ่งมีจริงแม้ท่านนักปราชญ์ในพระพุทธศาสนาเรา นับแต่ครั้งโบราณมาก็มิได้เป็นผู้คัดค้านล้วนแต่ได้มีความเชื่อถืออย่างแน่นแฟ้นทั้งนั้น อาทิเช่นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 4 แห่งรัตนโกสินทร์นี้เมื่อได้ตรวจดูพระราชประวัติของพระองค์ ท่านทรงเป็นเอตทัคคะ ในทางพุทธศาสตร์รัฐศาสตร์ และโหราศาสตร์ ขณะใดที่พระองค์ท่านทรงประสบโชคเคราะห์ ก็ได้ทรงรับสั่งว่าเป็นด้วยมหิทธานุภาพของเทวดา และได้จัดการตั้งพระราชพิธีบวงสรวงเทวดาขอบพระทัยเทวดา ไม่ให้ถูกเคราะห์โดยเต็มที่นัก ท่านโหราจารย์แต่ปางก่อนจึงพยายามหาทางออกให้ผู้เคราะห์ร้าย โดยให้ได้รับเคราะห์เพียงเบาๆ ไม่ถึงกับหนักหนาเช่น ประกอบพิธีสะเดาะพระเคราะห์ เพราะการสะเดาะพระเคราะห์นั้นผู้กระทำก็จำเป็นต้องเสียทรัพย์สินเงินทอง จัดเครื่องบูชาเทวดาเป็นอามิสพลีและการประกอบการบุญเป็นธรรมพลีอีกประการหนึ่ง แต่การเสียชนิดนี้เป็นการเสียเพื่อดีทั้งเป็นเครื่องบำรุงขวัญให้ผู้ประสบเคราะห์กรรมนั้นหายหวาดกลัวจะได้มีสติต้านทานเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นได้

พิธีกรรมสะเดาะเคราะห์นั้นตามที่ได้ปฎิบัติกันทุกวันนี้นอกจากจะจัดเครื่องเทวะพลีเพื่อบูชาเทวดา ขอให้ระงับโทษแล้ว ยังมีพิธีทางพุทธศาสนาโดยนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระปริตด้วย การประกอบพิธีสะเดาะเคราะห์ซึ่งจัดทำแต่ดั้งเดิมโดยลัทธิไสยศาสตร์ที่แท้จริงนั้น เป็นการจัดทำโดยพิธียัญญกิจและมีการร่ายเทวบูชาเทวดา แต่เมื่อตกทอดมาถึงพวกเราในยุคปัจจุบันนี้พิธีกรรมได้ถูกดัดแปลงแก้ไขจากของเดิม แม้โหรผู้กระทำแต่เดิมมาก็เป็นพราหมณ์ขณะนี้ก็เป็นโหรไทยแท้ทั้งนั้นยัญญกิจก็ลดคงเหลือแต่เพียงบัตรพลีและเครื่องสังเวยบูชาพอสมควรมนต์ที่ได้ร่ายในการบูชาปัดเป่า ก็กลับกลายเป็นพระพุทธมนต์ โดยนำพระปริต 12 ตำนานมาสวด เลือกตำนานที่ตรงกับเทวดาดาวพระเคราะห์องค์ที่บูชานั้นสวดและผู้สวดแทนที่จะเป็นพราหมณ์ก็กลับนิมนต์พระสงฆ์เป็นผู้สวดเรื่องร้ายที่จะปรากฎขึ้นก็กลับระงับไป ถึงแม้จะมีก็เป็นเพียงเบาบางเท่านั้น

เมื่อปรากฎผลดีขึ้นเช่นนี้ จึงมีผู้นิยมทำกันเป็นส่วนมาก บางท่านที่ศรัทธาแก่กล้าถึงแม้จะไม่มีเคราะห์อะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อจะจัดทำบุญอายุหรือทำบุญวันเกิดก็มักจะให้โหรจัดพิธีขึ้น เพื่ออุทิศที่ได้ทรงอนุกูลแด่พระองค์ท่านซึ่งเป็นเครื่องแสดงว่า เรื่องเทวดานี้มิใช่เรื่องเหลวไหลคงเป็นสิ่งที่เชื่อถือกันทั้งทางไสยศาสตร์และพุทธศาสตร์ ผู้ที่จะได้เป็นเทวดานั้นต้องเป็นผู้ที่อบรมคุณงามความดีไว้เป็นอย่างมาก จนบารมีแก่กล้าพอที่จะเป็นเทวดาได้ฉะนั้นการเคารพบูชาเทวดา ก็คือการเคารพต่อผู้มีคุณงามความดีนั่นเองสมดังพุทธภาษิตว่า "ปูชา จะ ปูชะนียัง เอตัง มังคะละมุตตะมัง"การบูชาผู้ที่มีคุณงามความดี อันควรแก่การบูชานั้นเป็นมงคลอันประเสริฐหาโทษมิได้เลย

เทวดาที่กล่าวไว้ในตำราโหราศาสตร์เท่าที่บันดาลอิทธิพลให้แก่ดวงชะตาบุคคลทั่วๆไปนั้น ได้แก่ เทวดาพระอาทิตย์พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระเสาร์ พระพฤหัสบดี พระราหู พระศุกร์ พระเกตุ รวม 9 องค์ด้วยกัน หรือเรียกว่า เทวดานพเคราะห์ซึ่งเป็นดาวเคราะห์และอุปเคราะห์อันแสดงปรากฎการณ์อยู่บนฟากฟ้านับถือมั่นกันว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธ์ที่สามารถหันเหียนชะตาชีวิตมนุษย์เราให้ประสบโชคเคราะห์ได้ และการที่จะทราบได้ว่าเทวดาองค์ใดที่จะบันดาลคุณโทษให้นั้นก็รู้ได้จากโหรซึ่งทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพเจ้ากับมนุษย์ผู้ชี้บอกด้วยอาศัยการคำนวณพยากรณ์ ในระยะใดที่เข้าเขตข่ายเคราะห์ก็ยังความตื่นเต้นหวาดกลัวให้แก่เจ้าชะตา

ทั้งนี้ก็เพราะเหตุตามที่กล่าวมาแล้ว
ว่ามนุษย์เรามีความกลัวเป็นต้นทุนประจำอยู่แล้ว และมนุษย์เป็นผู้มีสัญชาตญาณสูงเมื่อรู้ตัวว่าตนเองจะได้รับเคราะห์ภัย ก็ดิ้นรนหาทางหลีกเลี่ยงซึ่งสุดแล้วแต่จะมีทางพอที่จะเอาตัวรอดไปได้ เช่นรู้ตัวตัวว่าจะมีเคราะห์ก็หาทางออกด้วยการเดินทางโยกย้ายเปลี่ยนแปลงที่อยู่ หรือทำพิธีสะเดาะเคราะห์ขออำนาจพุทธานุภาพ เทวานุภาพ ให้ช่วยคุ้มครองบรรเทาโทษร้ายให้แปลเป็นคุณและยังมีวิธีการอื่นๆอีกมาก

เรื่อง: เพชรหน้าทั่ง ธาตุกายสิทธิ์มีฤทธิ์เป็นรองเฉพาะเหล็กไหล

เพชรหน้าทั่ง เพชรมหามงคล สรรพคุณ 108 ธาตุกายสิทธิ์มีฤทธิ์เป็นรองเฉพาะเหล็กไหล

พบเป็นแหล่งใหญ่ ที่อำเภอท่าศาลา นครศรีธรรมราช และอำเภอบันนังสตา ในจังหวัดยะลา
ที่ภาคใต้เคย มีเรื่องราวเกี่ยวกับเกาะลอยหมู่บ้านประหลาดที่สามารถโผล่ ขึ้นมากลางทุ่งโคลนได้อย่างน่าอัศจรรย์และสามารถหายลับตาไปเฉยๆได้อย่างน่า แปลกประหลาดมีเรื่องเล่ากันมาว่าบางผู้ที่ผ่านเข้าไปในเมืองนี้จะได้รับ ขมิ้นบ้าง ใบพลูบ้างดูแล้วเป็นของที่ไม่มีค่าบางคนระหว่างทางจึงทิ้งไปบ้างแต่พอมาถึง บ้างตนแล้วก็กลับพบว่าของต่างๆที่ตนไม่เห็นค่ำในตอนแรกบัดนี้กลับกลายมาเป็น ทองคำทั้งสิ้น
เรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุจากต่างมิติเช่นนี้ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอมีหลายคน ที่ได้ประจักษ์มาแล้วซึ่งชาวลับแลนี้มีของดีหลายอย่าง ที่จังหวัดพัทลุง เมืองเขาสามร้อยยอดก็ปรากฏเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองลับและธาตุกายสิทธิ์ชนิด หนึ่งที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็น “เพชรเมืองคนธรรพ์” หรือเพชรเมืองลับแล ของดีสรรพคุณ 108 ประการที่ทุกคนต่างปรารถนา
เพชรของชาวเมืองคนธรรพ์ที่ชาวบ้านพบเจอนั้นเขาเรียกกันว่า “เพชรหน้าทั่ง” มีลักษณะเป็นโลหะผลึกเล็กๆ ฝังอยู่ภายในเนื้อหินตามธรรมชาติคล้ายๆกับเหล็กไหลที่ฝังตัวอยู่ตามผนังถ้ำ หรือคล้ายกับปรอทสำเร็จที่ฝังตัวลงในผนังหินตามธรรมชาติก้อนโลหะต่างๆ เหล่านั้นต่างมีลักษณะสัณฐานสี่เหลี่ยมโดยประมารที่เป็นหกหรือแปดเหลี่ยมก็ มีมีสีขาวเงินยวงที่ออกเป็นเหลืองครามหรือเขียวปีกแมลงทับก็มีบ้างบางชิ้นก็ เป็นสีออกประกายทองหรือทอสีออกเป็นทองแดงเลยก็มี บางคนเรียก “เหล็กสายฟ้า” อยู่ในตระกูล “อัญมณี” ประกอบด้วยธาตุที่เป็นทองคำและแร่เงินผสมอยู่ด้วยกัน สีจึงออกเหลืองนวลอมทอง อมเงิน และหากโดนปฏิกิริยาทางเคมีก็จะกลายเป็นสีทอง
นับว่าเป็นของดีที่หาค่ามิได้เชื่อกันว่ากายสิทธิ์ชนิดนี้มีฤทธิ์เป็น น้องเหล็กไหลมีอานุภาพมากครูบาอาจารย์ทางใต้ต่างรู้สรรพคุณแร่ชนิดนี้ดีทั้ง นั้นอย่างพ่อท่านแดงจังหวัดปัตตานี ที่ทำพระเครื่อง"หลวงปู่ทวดรุ่น ๕แขะ" อันเลื่องชื่อที่มีการลองความขลังโดยใช้ปืนจ่อยิงองค์พระเครื่องปรากฏว่าทั้ง ๕ นัดที่ทดลองกระสุนด้านทั้งสิ้น จึงเป็นที่มาของรุ่น ๕ แชะนี่เองพระเครื่องของท่านก็ได้อาศัยธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ทำการฝังลงไปยัง ด้านหลังขององค์พระกล่าวกันว่าหลวงพ่อท่านได้ทำการปลูกเสกจนกระทั้งเพชรหน้าทั่งส่งแสงออกมารองกุฏิยามกลางคืนท่านว่ากายสิทธิ์ชนิดนี้ดีจริงๆ มีพุทธคุณครบทุกด้าน
เพชรหน้าทั่งนี้ผู้รู้กล่าวกันว่าเป็นของกายสิทธิ์ที่มีเทพทั้งฝ่าย ยักษ์และฝ่ายคนธรรพ์ดูแลรักษาอยู่ถ้าใครบางมีไม่ถึงไปเอาเองโดยสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ไม่ยินยอมให้ก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้นการเอามานั้นแม้ว่าจะไม่ ได้มาด้วยการใช้วิชาแบบตัดเหล็กไหลแต่เขาก็เรียกว่าเป็นการตัดเพชรออกมาเช่นกันคือการขอพลีเอามาอย่างถูกวิธีเจ้าป่าเจ้าเขายินยอมให้จึงสามารถได้มาอย่างปลอดภัย
กายสิทธิ์ของดีจากเมืองลับแลเป็นของที่มีอานุภาพมากมีเจ้าปู่ตาเพชรเป็นพลังงานวิญญาณที่คอยดูแลรักษาธาตุชนิดนี้อยู่โดยเฉพาะการบูชานั้นท่านให้น้ำเอาดอกมะลิเท่านั้นกับน้ำฝนมาเป็นของถวาย เจ้าปู่ตาเพชรทำการรักษาบูชาให้ดีจะบังเกิดโชคลาภนานาประการ ผู้บูชาไว้ไม่มีอดอยากยากจนเลยนอกจากนั้นเพชรทั่งยังสามารถพกติดตัวเอาไปได้ทุกที่ ไม่มีเสื่อมแต่หากปฏิบัติตัวไม่ดีองค์เพชรหน้าทั่งก็สามารถพกติดตัวเอาไปได้ทุกที่ไม่มีเสื่อม แต่หากปฏิบัติตัวไม่ดีองค์เพชรหน้าทั่งก็สามารถเสด็จหนีไปได้เหมือนกันคล้ายๆกับพระธาตุเจ้านั่นแล โบราณเชื่อกันว่า เพชรหน้าทั่ง เป็นธาตุกายสิทธิ์ที่จะทำให้ ผู้ที่เป็นเจ้าของเกิดความร่ำรวย มักจะอยู่ในเขตที่มีสายแร่ทองคำภายใต้ภูเขาลูกนั้น
สำหรับการบูชาเพชรหน้าทั่งเพชรมหามงคลท่านบอกไว้ว่า
ผู้ที่มีเพชรหน้าทั่งไว้บูชาควรใช้ดอกมะลิ บูชา
เมื่อออกจากบ้านไปหาลาภ ไห้ว่าคาถาข้างล่างนี้ 3 จบจะมีลาภปลอดโรคปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง
"จุติ จิตตัง อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ"
เป็นคำแนะนำการบูชาของดีที่จัดอยู่พวกเครื่องรางของขลังป้องกันตัวประเภทธาตุกายสิทธิ์ โดยธรรมชาติ
[ชาวใต้มั่นใจในอิทธิสรรพคุณของ "เพชรหน้าทั่ง" ว่าจะเป็นรองก็แต่เฉพาะเหล็กไหลเท่านั้น]

Pages