วัตถุอาถรรพ์ ธาตุกายสิทธิ์

เรื่องราวความอาถรรพ์และที่มาของเครื่องรางของขลังที่คนส่วนใหญ่ที่เชื่อเรื่องของโชครางต่างรู้จัก และพากันค้นหาอยากได้มาไว้ติดตัว และดิ้นรนอยากที่จะเป็นเจ้าของ เพื่อความโชคดีความแคล้วคลาดปลอดภัย หนังเหนียวหรือเพียงเพื่อความเป็นศิริมงคลหรืออะไรก็แล้วแต่ซึ่งเราเรียกของขลังเหล่านี้ว่า ธาตุกายสิทธิ์ ชึ่งมีทั้งที่มีต้นกำเนิดการได้มาจากตัวคน จากพืช และจากสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อีกมากมายฯลฯ

- อันดับแรกเราลองมารู้จักของกายสิทธิ์ที่เกิดขึ้นในตัวคนกันก่อน สิ่งเหล่านั้นได้แก่ ลูกอัณฑะทองแดง ตับเหล็กเคราทองแดง อากาศธาตุ และลูกกรอก

- ที่เกิดขึ้นในสัตว์ก็ คือ ช้องหมูป่า เขี้ยวหมูตัน ฟันเสือกลวง หนังหน้าผากเสือโคร่ง งากำจัด

- ส่วนที่อยู่ในพืช หรือเกิดจากพืช นิยมเรียกว่าคดเช่น คดขนุน คดมะพร้าว บางครั้งเรียกเฉพาะเจาะจงลงไป เรียกว่า กะลาตาเดียวกะลามหาอุด(ไม่มีตา) พญางิ้วดำ เป็นต้น สำหรับวัตถุอาถรรพ์ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจากสิ่งที่มีชีวิต มีอยู่จำนวนมาก พอสมควร

- ส่วนใหญ่เป็นพวกแร่ธาตุ อัญมณี ที่รู้จักกันดีก็คือ เหล็กไหล เหล็กน้ำพี้ ปรอท คดหิน คดดินต่างๆในบรรดาาเครื่องรางของขลังเหล่านี้นักไสยศาสตร์เชื่อว่าเป็นวัตถุอาถรรพ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ในตัว ไม่ต้องปลุกเสก ด้วยคาถาอาคมอะไร ก็นำมาใช้ำด้แต่ก็มีเหมือนกัน ที่มักจะนำมาลงคาถาอาคม กำกับอีกครั้งหนึ่งเพื่อเพิ่มความเข้มขลังให้เป็นทวีคูณ

- ความเป็นมาของช้องหมูป่ามีความเชื่อของที่มาแตกต่างกันออกไป บ้างเชื่อว่า ช้องหมูป่าเป็นเส้นขนพิเศษของหมูป่า ที่ขึ้นอยู่บริเวณตัวของหมูป่าโดยเฉพาะที่บริเวณหัว หรือหว่างคิ้วของมันมีความยาวเป็นพิเศษนักไสยศาสตร์เชื่อกันว่าเป็นของขลังชนิดหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์ด้านคงกระพันมหาอุด

- ส่วนอีกกลุ่มเชื่อว่า ช้องหมูป่า คือขนที่ยาวเป็นพิเศษของหมูป่า โดยเฉพาะหมูโทนซึ่งหมายถึงหมูตัวผู้ที่ชอบหากินอยู่ตัวเดียว อย่างทรนงมันจะมีขนเหนือสันหลังขึ้นมาถึงโหนกคอ ยาวเป็นพิเศษเหมือนหางเปียย้อยลงมาตรงหน้าผาก ยาวจนถึงปากของมันหมูป่าจะคาบช้องของมันเอาไว้ตลอดเวลา โดยพันเอาไว้กับเขี้ยวด้านหนึ่งเชื่อกันว่าช้องหมูป่าแบบนี้มีความคงกระพันมหาอุดคุ้มครองทั้งหมูที่เป็นเจ้าของช้องและคนที่มีช้องของหมูป่าไว้ครอบครอง ส่วนความเชื่อของกลุ่มหลังสุดนี้พิศดารน่าสนใจมาก เชื่อกันว่าช้องหมูป่า เป็นขนที่ขึ้นอยู่บริเวณลูกอัณฑะของหมูป่าหรืออาจเรียกว่าขนเพชรหมูป่าก็น่าจะได้จัดเป็นขนลักษณะพิเศษเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วหมูป่าโทนที่ชอบออกหากินตัวเดียวไม่เกรงกลัวใคร จะใช้ปากและฟันเลียและกัดขนชองมันมาไว้ในปากตวัดและเคี้ยวด้วยน้ำลาย จนขนรวมตัวกันเป็นวงหรือขมวดกลมๆ หรือวงแหวนหมูจะรักษาขนนี้ไว้ในปากตลอดเวลาไม่ว่าจะกินอะไรมันก็จะซ่อนไว้ในปากได้ อย่างประหลาดหมูป่าตัวนั้นจะมีความอยู่ยงคงกระพันเป็นมหาอุดตลอดเวลาที่มันมีขนนั้นอยู่ในปาก ลูกกระสุนปืนนายพรานจะไม่สามารถทำอะไรมันได้ ดังนั้นพรานป่า นักล่าทางไสยศาสตร์จึงต้องคอยติดตามหมูตัวที่ต้องการไป คอยจนมันกินน้ำ ตอนกิน น้ำนี่เองที่หมูป่าจะคายขน หรือช้องหมูป่าออกมาวางไว้บนโขดหินบ้าง บนขอนไม้บ้างเพื่อให้มันได้กินน้ำอย่างสะดวก พอมันคายช้องหมูป่าออกมาแล้วนายพรานก็จะยิงหมูตัวนั้นได้แล้วจึงค่อยไปเก็บเอาช้องหมูป่าเอามาเป็นเครื่องรางของขลังติดตัวกันเชื่อกันว่าจะทำให้ปืนยิงไม่ออก หรือยิงไม่เข้า แต่ต้องพกติดตัวไว้ตลอดห่างแค่คืบ แค่ศอกก็จะไม่สามารถคุ้มครองป้องกันได้

- ตับเหล็ก ทางภาคกลาง และทางภาคเหนือเรียกว่าตับทองแดง เล่ากันว่าตับเหล็ก หรือตับทองแดงนี้ จะไม่ไหม้ไฟคือศพของคนที่มีตับเหล็กนี้ตับจะไม่ไหม้ไฟจะเหลือตับเหล็กไว้ให้ถือเป็นของขลังชนิดหนึ่งตับเหล็กหรือเคราทองแดงนี้เชื่อกันว่าเป็นของขลังที่สามารถ เกิดขึ้นกับร่างกายของคนที่ มีอาคมแก่กล้า มีคาถาอาคม เสกว่านยากินเป็นประจำทำให้ตับเป็นเหล็ก หรือเคราเป็นทองแดงใช้มีดโกนไม่เข้าก็มีแต่ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าเกิดขึ้นเองได้ แต่ไม่ได้มี หรือเกิดขึ้นได้กับทุกคนนานๆจะพบเห็นกันซะที

- งากำจัด เป็นวัตถุอาถรรพ์ที่ได้ยินกันบ่อยๆแต่เป็นของที่หายากมากๆ งากำจัดนี้ หมายถึง งาช้างที่หักคาต้นไม้เป็นงาชองช้างตกมัน หรือช้างเกเร อารมณ์ร้ายและมีฤทธิ์เดชมากเมื่ออาละวาดหนักเข้า ก็จะเอางาของตัวเองแทงต้นไม้ใหญ่ จนงาหัก คาต้นไม้คนที่ไปพบเข้าก็จะนำเอามาทำเป็นเครื่องรางของขลังเชื่อกันว่ามีอิทธิฤทธิ์มีอำนาจ ที่จะป้องกันได้ในทุกทาง แต่ต้องระวังให้ดีเพราะของปลอมมีมาก จนหาของจริงไม่เจอส่วนใหญ่แล้วหากได้งาจำกัดมาคนก็มักจะนำไปให้อาจารย์ ที่มีวิชาอาคมขลังแกะเป็นเครื่องรางของขลัง นิยม นำมาทำด้ามมีดหมอ

- คด ยอดคงกระพัน ในส่วนของพืช เครื่องรางของขลัง ที่มีผู้นิยมกันมากๆคือ คด มีลักษณะเหมือนหิน เช่นคดขนุน และคดมะพร้าวที่มีผู้ต้องการมากคือ คดขนุนที่กลายเป็นหิน ซึ่งจะให้คุณทั้งด้านความคงกระพัน แคล้วคลาด และเมตตามหานิยมปัจจุบันมีผู้ทำของปลอมออกมาโดยเอาหิน เอากรวดสวยๆ มาเจียระไน ตบแต่งเป็นคด หลอกขายกัน

- อากาศธาตุ หรือฟันอาถรรพ์ ของขลังที่หายากอีกอย่างหนึ่ง อากาศธาตุ หมายถึง ฟันคน ที่ขึ้รอยู่บนเพดานปาก แทนที่จะขึ้นอยู่บนเหงือก เหมือนคนปกติทั่วไปใครมีฟันแบบนี้ ย่อมคงทนต่ออาวุธทั้งปวงฟันบนเพดานปากนี้จะขึ้นเองตามธรรมชาติเมื่อขึ้นมาแล้วจะไม่ผุไม่กร่อนเหมือนซี่อื่นๆ จะมีความคงทนและอยู่กับเจ้าของไปตลอด และห้ามบอกใคร เพราะอาจจะโดนทุบและยึดฟันไปทำของขลังได้อิอิ

ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกท่าน และ คุณหนุ่มเมืองแกลง

พระแม่นางกวักดีทางเสน่ห์ เมตตามหานิยม โชคลาภ ค้าขาย


เมื่อสมัยโบราณกาลยังมีพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงคุณทางวิชาไสยศาสตร์ เป็นผู้มีอำนาจสมาธิจิตสูงสามารถอธิษฐานจิตปลุกเสกเครื่องรางของขลังได้บรรจุเลขยันต์และคาถาอาคมตามแต่พระเกจิอาจารย์นั้นๆ ในวัตถุรูปแบบต่าง ๆ ทั้งเก่าและใหม่ในทางศิลปะมากมาย ด้วยความสวยงามปราณีตแตกต่างกันออกไปตามแต่จะมีความสามารถหาวัตถุมาได้อาจเป็นโลหะดิน กระเบื้อง หรือผ้ายันต์ ตามความเหมาะสมกับสถาณการณ์เพื่อมอบให้กับศิษยานุศิษย์และผู้เชื่อถืออันอาจนำโชคลาภมาสู่ผู้ศรัทธาในนางกวัก

นางกวักเป็นรูปสตรีสมัยโบราณในท่านั่งพับเพียบเรียบร้อย ห่มผ้าสะไบเฉียงทอด้วยใยบัวยอดอกประกอบด้วยพาหุรัดและทองกร ยกมือข้างขวาแสดงอาการกวักและบางพระเกจิอาจารย์ประจงตกแต่งให้มือข้างซ้ายถือถุงเงินถุงทอง เพื่อกวักเรียกผู้พบเห็นและเงินทองของต้องใจทั้งหลายให้หลั่งไหลเข้ามาในร้าน และ ด้วยอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้เปี่ยมไปด้วยลีลานารีโสภาลักษณ์ส่งถึงน้ำใจอัน ขาวบริสุทธิ์ ซึ่งเต็มไปด้วยเมตตาอารีธรรมชั้นสูงดึงเอาเพศชายเพศหญิงทั้งหลายให้เข้ามา และนำเอาลาภสักการะทรัพย์สินเงินทองของขวัญต่างๆ มาสู่ผู้สักการะบูชาด้วยจะว่าไปนางกวักจัดเป็นเครื่องรางของขลังที่นิยมกันมากในหมู่บรรดาพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลาย เช่นกันในวงการพระเครื่องก็เช่นการบูชานางกวักนั้นหวังพุทธคุณด้านเมตตามหานิยมและความก้าวหน้าทางกิจการการค้าในโชคลาภมาสู่ตนและครอบครัว


ส่วนตำนานของนางกวักนั้น สืบเนื่องมาจากเรื่อง "รามเกียรติ์ "โดยกล่าวถึงท้าวอุณาราช เจ้าเมืองสิงขรเป็นฝ่ายยักษ์ขณะที่พระรามกำลังตามหานางสีดาที่ดำดินหนีได้ไปพบท้าวอุณาราชจึงได้ใช้ต้นกกแผลงเป็นลูกศรไปต้องท้าวอุณาราชที่หน้าอกคนทั้งหลายเลยพาเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า "ท้าวกกขนาก"เมื่อพระรามได้สาปให้ท้าวกกขนาก ถูกตรึงด้วยลูกศรอยู่ ณที่เขาวงพระจันทร์อย่างทุกข์ทรมาน จนกว่าจะถึงศาสนาพระศรีอารย์จึงจะหลุดพ้นคำสาปเมื่อข่าวนี้ทราบถึงนางประจันทร์ซึ่งเป็นธิดาของท้าวอุณาราชจึงได้มาอยู่ ณสถานที่แห่งนี้เพื่อมาอยู่ปฏิบัติดูแลพระบิดาและได้พยายามทอจีวรด้วยใบบัวเพื่อไว้ถวายพระศรีอารย์ในกาลอนาคต ซึ่งจะเสด็จมาโปรดพระบิดาของนางจึงจะพ้นคำสาป

ด้วยเหตุนี้ชาวเมืองทั่วไปต่างพากันเกรงกลัวท้าวกกขนากว่า หากหลุดพ้นจากคำสาปจะออกมาอาละวาดฆ่าฟันเหล่ามวลมนุษย์จึงทำให้ชาวบ้านทั่วไปพากันเกลียดชังนางประจันทร์ไปด้วยทำให้นางประจันทร์ได้รับการทุกข์ทรมานจากการกระทำต่าง ๆ นานาแต่นางประจันทร์ก็ไม่เคยปริปากพยายามอดทนเพื่อดูแลพระบิดาเป็นเหตุให้ปู่เจ้าเขาเขียว ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายร่วมตายกับท้าวอุณาราชท่านจึงได้ส่งนางกวักบุตรสาวของท่านให้มาอยู่เป็นเพื่อนกับนางประจันทร์


เมื่อ นางกวักได้เข้ามาอยู่เป็นเพื่อนกับนางประจันทร์แล้วก็ปรากฎว่าผู้คนในเมือง ที่เคยเกลียดชังนางประจันทร์มาก่อนก็พากันกลับมารักใคร่นางอย่างไม่คาดคิดและ ถึงแม้ที่อยู่ของนางจะทุรกันดารสักแค่ไหนก้จะมีผู้คนนำเอาลาภสักการะและแก้ว แหวนเงินทองไปสู่สำนักของนางประจันทร์เป็นจำนวนมากอย่างไม่ขาดสาย


ด้วยเหตุนี้ท่านโบราณจารย์ผู้ชาญฉลาดตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงปัจจุบันจึงพากันประดิษฐ์คิดแต่งรูปแม่นางกวักขึ้นไว้เพื่อบูชาด้วยทัพสัมภาระต่าง ๆ ดังเช่นหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จังหวัดนครสวรรค์ จะนิยมแกะรูปนางกวักด้วยงาช้างส่วนหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว จังหวัดนครปฐม จะแกะด้วยไม้ไผ่สีสุกและท่านอาจารย์เฮง ไพรยวัล ก็นิยมแกะรูปนางกวักด้วยเช่นกันพร้อมทั้งบรรจุอิทธิคุณและพุทธคุณต่าง ๆ ไว้ภายในเพื่อให้ที่ลูกศิษย์ลูกหาได้รับอานิสงส์เฉกเช่นเดียวกับนางประจันทร์


คาถาบูชาแม่นางกวัก

โอมศรีวิชัยวังเวียงอันอุดม ปู่เจ้าเขาเขียว มีลูกสาวคนเดียวชื่อว่านางกวักชายเห็นชายรัก หญิงเห็นหญิงทักทุกถ้วนหน้า พวกพ่อค้าพานิชพากูไปค้าเมืองแมนกูจะค้าหัวแหวนก็ได้วันละแสนทะนาน กูจะค้าสารพัดการก็ได้กำไรมาโดยคล่องกูจะค้าเงินทองก็ได้เต็มห้อง กูจะค้าข้าวของก็ได้เต็มหาบมาเรือน สามเดือนเป็นเศรษฐีสามปีเป็นพ่อค้าสำเภา พระฤาษีผู้เป็นเจ้าจงประสิทธิ์ให้ลูกคนเดียว โอมมหาสิทธิโชคโอมมหาระรวย สวาหะฯ

" ตะกรุด "

เป็นหนึ่งในเครื่องรางของขลังที่ผูกพันกับคติความเชื่อในสังคมไทยมาช้านาน โดยเฉพาะในการรบทัพจับศึกเข้าสู่สนามรณรงค์สงคราม พระ บรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ประทับนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ในมหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก ที่พระรูปขององค์สมเด็จฯ ท่านคล้องไว้ด้วยตะกรุดดอกใหญ่ เรียงเป็นแนวยาวพาดพระอังสะ ในลักษณาการเฉียงลงถึงบั้นพระองค์ มีสายตะกรุด ๑๖ ดอก คล้องเป็นแนวยาวทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โบราณเรียกกันว่า "ตะกรุดโสฬส"พระองค์ท่านสะพาย ๒ เส้น เป็นหนึ่งในความนิยมประเภทเครื่องรางของพระเกจิอาจารย์แต่ละยุคสมัยคงไว้ซึ่งความเข้มขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ดีในทางแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี ป้องกันภยันตรายภัยพิบัติทั้งปวง รวมทั้งด้านเมตตามหานิยม ค้าขาย โชคลาภ กลับดวง พลิกชะตา เลื่อนยศร้ายกลายเป็นดี


บรรดาเกจิอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษนิยมสร้าง ตะกรุดเพื่อป้องกันอันตรายและ ตะกรุด ก็มีพัฒนาการเรื่อยมาจากดอกใหญ่หนาสำหรับการออกศึกสงคราม ก็ค่อยๆ ลดขนาดลงหรือใช้วัสดุประเภทไม้สร้าง บางทีก็จัดทำเป็นดอกเล็กๆในลักษณะเครื่องรางติดตัว หรือสามารถตอกฝังเข้าไปในร่างกายได้


ตะกรุดถือเป็นเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่ง ทำด้วยโลหะบ้าง อโลหะบ้าง เช่นแผ่นตะกั่วแผ่นเงิน แผ่นทอง หรือทองแดง บางครั้งก็ใช้ไม้ไผ่ หรือกระดูกสัตว์ก็มีเมื่อได้วัสดุตามต้องการแล้ว ก็จะทำการลงอักขระ หรือผูกเป็นยันต์โดยส่วนใหญ่จะเป็นบทสรรเสริญพุทธคุณ มีความเชื่อที่ว่าตะกรุดสามารถคุ้มครองผู้ครอบครองหรือสร้างความมีเสน่ห์เมตตาให้แก่ผู้พบเห็นได้


ตะกรุด ทำมาจากวัสดุต่างๆมากมายตามตำราของครูบาอาจารย์แต่ละท่าน แต่ที่พบโดยทั่วไปจะเป็นการนำโลหะแผ่นบางๆ อาจจะเป็น ทองคำ เงิน นากตะกั่ว หรือโลหะธาตุผสมอื่นๆมาลงอักขระเลขยันต์โดยครูบาอาจารย์ ซึ่งจะใช้เหล็กจารเขียนพระคาถาผูกขึ้นเป็นมงคลก่อนที่จะม้วนให้เป็นแท่งกลม โดยมีช่องว่างตรงแกนกลางสำหรับร้อยเชือกติดตัวไปไหนต่อไหน อาจนำมาหล่อหลอมรวมกันแล้วทำเป็นตะกรุดหล่อโบราณทำจากรางน้ำฝน , ทำจากกาน้ำ , ทำจากใบลานตัดเป็นแผ่นก่อนแช่น้ำแล้วนำมาม้วนเป็นทรงกลม , ทำจากหนังสัตว์ เช่น หนังเสือ , หนังหน้าผากเสือ , หนังงู ,หนังเสือดาว ,หนังลูกวัวอ่อนตายในท้องแม่หรือจากกระดูกสัตว์ ตะกรุดกระดูกช้าง , ตะกรุดจากเขาวัวเผือก หรือจากไม้มงคลต่างๆเช่น ไม้ไผ่ ซึ่งมีทั้ง ไผ่ตัน และ ไผ่รวก ไม้คูณ ไม้ขนุนปัจจุบันก็มีรูปแบบใหม่ขึ้นมาโดยทำมาจากปลอกลูกปืน อาศัยนัยยะว่า แม่ไม่ฆ่าลูกแล้วอาจจะถักด้วยเชือก ด้ายมงคล พอกด้วยผงยา จินดามณี แล้วนำไปจุ่มหรือชุบรักปิดทอง ตามตำรา


ตะกรุดได้ถูกสร้าง โดยอ้างถึงพุทธคุณ ธรรมคุณสังฆคุณเพราะหากทำวัตถุบูชาเป็นรูปพระพุทธเจ้าแล้ว หากนำไปในสถานที่ต่างๆ เช่น สนามรบอาจจะไม่บังควร โดยอาศัยตัวอักขระ หรือ เลขยันต์ แสดงความหมายที่แตกต่างกันออกไปตะกรุด หากเป็นดอกเดียว เราเรียกว่า ตะกรุดโทน หากเป็นสองดอกจะเป็น ตะกรุดแฝดหรือเป็นโลหะ 3 ชนิด ที่เรียกว่า สามกษัตริย์ หาก 16 ดอกเรียกตะกรุดโสฬส


ตะกรุดต่างๆส่วนใหญ่ที่เป็นโลหะจะมีความเชื่อที่แตกแขนงออกไปอีก อาทิเช่น ถ้าเป็นตะกรุดที่ต้องการให้เกิดผลทางด้านเมตตา มักจะทำโดยใช้ แผ่นทอง หรือแผ่นเงิน ตะกรุดที่ต้องการให้เกิดผลทางคงกระพันจะใช้แผ่นทองแดง ตะกรุดที่ต้องการให้เกิดผลทางด้านแคล้วคลาด มักจะใช้แผ่นตะกั่วเป็นต้น


ตะกรุด ใช้บูชาอยู่ 2 แบบ คือ ใช้แขวนคอ และอีกแบบใช้คาดเอวโดยดอกตะกรุดจะขนานกันไปในแนวนอน

ผ้ายันต์คือวัตถุมงคลประเภทหนึ่งในกลุ่มของเครื่องรางของขลังของไทยผ้ายันต์มีขนาดเล็กๆเท่ากับผ้าเช็ดหน้าหรืออาจจะใหญ่กว่าเล็กน้อย ทำด้วยผ้าฝ้ายผ้าลินิน มีสีเท่าที่เคยเห็นคือ สีขาว สีแดงและสีเหลือง
ผ้ายันต์เป็นวัตถุมงคลที่มาแต่สมัยโบราณมักสร้างขึ้นโดยพระเกจิอาจารย์ผู้มีอาคมเข้มขลัง คุณสมบัติของผ้ายันต์มีหลายประการเช่น ด้านคงกะพัน เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์การจัดทำผ้ายันต์ไม่ต้องมีพิธีการใหญ่โตอะไรพระเกจิอาจารย์ผู้จัดทำอาจจะเป็นผู้ทำการปลุกเสกด้วยตัวเอง

บนผ้ายันต์จะมีลวดลายและเขียนเป็นอักษรคาถาตามแบบของพระเกจิอาจารย์แต่ละท่านไม่ซ้ำแบบกัน ต่อมาผ้ายันต์มีการพัฒนามาเป็นการพิมพ์ลวดลายแทนการเขียนด้วยมือเพราะอาจจะต้องการจำนวนมากยันต์พัฒนามาเป็นเสื้อกั๊ก

ความเชื่อทางไสยศาสตร์ของผู้คนแห่งอาณาจักรสุวรรณภูมิถูกถ่ายทอดจากบรรพบุรุษของเราเนิ่นนานนับพันปี ผืนผ้าเขียนอักขระโบราณและภาพสัญลักษณ์ต่างๆ กำกับลงคาถาอาคมความเชื่อความศรัทธาอันเต็มเปี่ยมในผ้าผืนเล็กๆ เหล่านี้คือสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนไว้ในด้านอิทธิฤทธิ์นานาประการ

ประเภทของยันต์ที่พบจัดแบ่งได้เป็น 9 ประเภทคือ

1.ยันต์เมตตามหานิยม

2. ยันต์มหาอำนาจ

3. ยันต์ค้าขาย

4. ยันต์มหาเสน่ห์

5. ยันต์โชคชะตา

6.ยันต์อยู่ยงคงกระพัน

7.ยันต์ป้องกันภัย

8. ยันต์สารพัดนึก

9.ยันต์ฝ่าต๊ะ

"ยันต์โบราที่น่า 'ทึ่ง' มากที่สุดคือ ยันต์มหาเสน่ห์ถือเป็นคุณไสยให้คนหลงรักหลงเสน่ห์ มักทำเป็นรูปหญิงสาวสัมพันธ์กับสัตว์ เช่น ช้างม้า วัว ฯลฯ แล้วแน่นอนว่าเมื่อเก็บสะสม ก็ต้องเคารพบูชาผ้ายันต์เหล่านี้อัครเดชเล่า ว่าครั้งหนึ่งตึกแถวใกล้ๆ ห้องเก็บผ้ายันต์ไฟไหม้ไฟลามจนเกือบถึงห้องที่เก็บผ้าเขาจึงอธิษฐานขอให้ผ้าคุณค่ามหาศาลพวกนี้อย่าโดนไฟไหม้เลยปรากฏว่าจู่ๆ ไฟก็ดับมอด ความศรัทธาที่มีต่อการสะสมจึงเข้มข้นยิ่งขึ้น

"ผมก็เชื่อตามวิสัยคนไทยที่เคารพพระครูบาอาจารย์แต่ไม่ลึกซึ้งไปกว่าความสวยงามทางศิลปะที่เราเห็นว่า ผ้าพวกนี้น่าเก็บแล้วการศึกษาประวัติผ้ายันต์แต่ละผืนก็รู้ว่า ระหว่างเส้นตัดกันนับหมื่นๆ พันๆ เส้น 'ผู้ลงยันต์' ต้องทำสมาธิท่องคาถาประกอบตามอานุภาพของยันต์นั้นๆแล้วต้องเป็นผู้มีพลังจิตที่จะถ่ายทอดความเข้มแข็ง เมตตา และความอิ่มเอิบใจลงในผ้าผู้รับก็ต้องน้อมด้วยความศรัทธาจัดไว้ในที่อันเหมาะสม ท่องคาถาเคร่งครัดต้องอยู่ในกฎ เช่น ห้ามผิดศีล 5 ห้ามลอดใต้ถุนบ้านหรือราวตากผ้าหรือห้ามบริโภคเนื้อสัตว์แล้วที่สำคัญยันต์โบราณเขียนเป็นมาสเตอร์พีซไม่ได้พิมพ์กันเป็นพันผืนอย่างในปัจจุบัน"

ปลักขิก ผู้เคียงข้างเครื่องรางแห่งเสน่ห์ โชคลาภและปัดเป่าเสนียด***

วัตถุมลคลที่เป็นเครื่องราง ที่อยู่คู่กับคนสังคมไทยมาตั้งแต่นานตั้งแต่สมัยอยุธยา ปลักขิกนั้นนิยมเรียกกันในชื่อ ขุนเพ็ด หรือ ขุนเพชร คำว่าปลัดนั้น หมายถึง ตำแหน่งรองจากตำแหน่งที่เหนือกว่า โดยรู้จักกันในความหมายผู้ข้างเคียงคอยช่วยเหลือ ส่วนคำว่า ขิกนั้นคำนี้ได้ถูกเลิกใช้มานานแล้วเพราะเป็นคำหยาบ ได้ผันเปลี่ยนมาใช้คำว่า คุยหํในภาษาบาลี และได้แผลงมาเป็น ตวย (ต เปลี่ยนเป็น ค) ในภาษาไทยซึ่งในปัจจุบันคำนี้ก็เป็นคำหยาบไปอีก แตกต่างกันตรงที่ว่ายังนิยมชมชอบที่แจกให้กันเสมอ ๆใน ปัจจุบัน ปลักขิกหรือขุนเพ็ดเป็นเครื่องรางคู่กับโยนี (เครื่องรางรูปของลับของสตรี) ซึ่งทั้ง 2 สิ่งนี้เป็นดอกไม้ในแดนสวรรค์ เป็นเครื่องหมายของการกำเนิดส่งใหม่ ๆหรือความงอกงามของชีวิตใหม่

ขุนเพชรหรือปลัดขิกแต่เดิมนิยมให้เด็กผู้ชายอายุตั้งแต่ ๓-๔ ขวบขึ้นไป แขวนไว้ที่เอวเพราะเด็กอายุประมาณนี้จะเริ่มมีเอวแล้ว และเด็กในระยะนี้จะมีภูมิคุ้มกันตนน้อยลงเพราะว่าหย่านมแล้ว แนวโน้มที่จะเจ็บไข้ไม่สบายมีมากขึ้น ความเชื่อที่ว่าผีสางทั้งหมายจะทำให้เด็กเจ็บป่วยไม่สบาย จึงให้แขวนปลัดหรือขุนเพชรไว้ ทั้งนี้เพราะปลัดขิกที่นำมาแขวนให้กับเด็กชายนั้น จะอยู่ในลักษณะขององคชาตจำลองย่อส่วนโดยปราศจากหนังหุ้มปลาย ระดับของการแขวนก็อยู่ที่เอวมิใช่คอทั้งนี้ก็เพื่อให้ห้อยลงมาใกล้กับระดับองคชาต (อ้ายจู๋) ของเด็กให้มากที่สุด เพื่อจะหลอกผีให้เข้าใจผิดไปว่าเด็กชายนั้นใช่เด็ก หากเป็นผู้ชายเต็มตัวแล้ว โดยมีองคชาตที่ปลายเปิดไม่มีหนังหุ้ม ส่วนปลัดขิกเหล่านี้หากจะให้มีความขลังยิ่งขึ้นก็ควรจะต้องผ่านการปลุกเสกเสียด้วยอีกต่างหาก

ในที่สุดปลัดขิกหรือขุนเพ็ด ก็ได้ประกาศอิสรภาพยกฐานะตัวเองขึ้นไปอีกระดับกลายเป็นสิ่งสมควรแก่การเคารพบูชากราบไหว้สถิตอยู่ตามศาลหรือเป็นเครื่องนำโชคลาภตั้งไว้บูชาหรือเป็นเครื่องมือเพื่อนำความเจริญก้าวหน้า เนื่องในการทำมาค้าขายโดยทั่วไปจะนำปลัดขิกไปจิ้มลงบนสินค้าพร้อมกับมีคาถากำกับว่า
"โอม ระรวยมหาระรวย
สามสิบสอง-วยแห่ห้อมล้อม -ีค้าง่ายขายดีแหก-ีกลับบ้าน ฮ่า ฮ่า ฮ่า"(ควรร่ายด้วยลมหายใจเฮือกเดียว แต่ทำไมจึงต้องสามสิบสอง เรื่องนี้ยังสืบไม่ได้)

หรือ "...โอม ไอ้ขลิกไอ้ขลัก เงี่ยงหักเงี่ยงหงิก ปกเอยปกหาง หางเอยหางอะไร
บุรุษชอบ-ี สตรีชอบ-วย ทำให้กูร่ำรวย โพะหัว โพะหัว โพะหัว" (คาถาของหลวงพ่อซ่วนเมืองแปดริ้ว ฉะเชิงเทรา)

แต่หากจะตรองดูก็จะเห็นว่า
การที่ใช้คำที่ไม่ค่อยสุภาพเป็นคาถากำกับ ก็เพื่อจะให้พวกผีๆ เข้าใจไปว่าสินค้าที่วางขายนั้นเป็นของที่ไม่มีราคาค่างวดวิเศษวิโสอะไร ไม่คุ้มกันที่พวกผีจะมาใส่ใจเสียเวลามารบกวน

ปลักขิกนั้นมีเคล็ดการใช้แตกต่างกันไปบางสำนักนิยมให้ถูกเนื้อถูกตัว คือคาดที่เอวให้โดนเนื้อตัวเจ้าของไว้แต่อีกแบบหนึ่งนั้น นิยมให้ปลัดขิกแขวนออกมาให้คนอื่นๆเห็นจะยิ่งมีอานุภาพ คงเป็นอิทธิพลมาแต่เดิมที่จะใช้หลอกผี ให้เข้าใจว่า โตแล้ว ผีจะได้ไม่มายุ่งส่วนการให้ถูกเนื้อโดนตัวนั้นตามความคิดของผมเข้าใจว่า สิ่งต่างๆจะสมบูรณ์เมื่อธาตุทั้ง ๖ ประสานต่อเนื่องกันไป

ส่วนเรื่องอานุภาพหรือความขลังศักดิ์สิทธิ์ของปลัดขิกนั้น มีอานุภาพครบทุกด้านทุกประการ คาถาที่นิยมใช้กับปลัดขิก คือ หัวใจโจร ที่ว่ากัณหะเนหะด้วยความหมายที่ว่า โจร เป็นผู้ทำลายล้าง การใช้หัวใจโจร จึงเป็นการใช้เกลือจิ้มเกลือ หนามยอกเอาหนามบ่งให้โจรทำลายล้างสิ่งไม่ดีต่างๆให้หมดไป

ปลักขิกนั้นเด่นทั้งเรื่องคงกระพัน กันเขี้ยวงา และแคล้วคลาดปลอดภัย ป้องกันเสนียด ภูติผีต่างๆในด้านเมตตามหาเสน่ห์ก็มีอยู่ครบ แต่ที่จะโดดเด่น เห็นจะเป็นแค่ ๒ อย่าง คือ คงกระพัน กันเขี้ยวงา และเมตตาค้าขาย

ข้อดีของเครื่องรางชนิดนี้ คือไม่มีข้อห้ามยุ่งยาก ตัดปัญหาเรื่องความเชื่อที่ว่าของจะเสื่อมเพราะการพลั้งเผลอ ไปลอดราวผ้าหรืออยู่ในที่ไม่สมควร คาถาของขุนเพชรเองก็มีแต่คำพื้นบ้านหรือออกจะหยาบนิดๆพอน่ารัก

ปลัดขิกเริ่มด้วยเป็นเครื่องมือหลอกผี แต่แล้วต่อมาปลัดขิกก็ได้ยกระดับตัวเอง ให้กลายสภาพจากเครื่องมือหลอกผีมาเป็นของขลังในตัวของมันเองโดยไม่จำกัดอยู่กับวัยอีกต่อไป ผู้ใหญ่ซึ่งไม่มีความจำเป็นแต่ประการใดที่จะหลอกผีให้เข้าใจผิด ก็ยังนิยมที่จะแขวนไว้เป็นเครื่องรางป้องกันสิ่งชั่วร้ายโดยไม่รู้ถึงสาเหตุหน้าที่ของมัน

ผู้ที่มีความเชื่อมั่นและคิดเสมอว่าตัวเรามีของดีคือ ขุนเพ็ด เผด็จศึกติดตัวอยู่ ยิ่งมีความผูกพันธ์และเชื่อมั่นมากเท่าไรเครื่องรางชนิดย่อมแสดงผลให้ประจักษ์ได้อย่างชัดเจน โดยทั่วไปแล้วเกจิอาจารย์เก่า หรือผู้ที่ใช้เครื่องรางทุกอย่าง จะขาดปลัดขิกไม่ได้เป็นของป้องกันตัวพื้นฐานที่สำคัญ ในฐานะผู้เคียงข้าง ตลอดกาล

เกจิอาจารย์หลายสำนัก สร้างปลัดขิกหรือขุนเพชรได้อย่างยอดเยี่ยม และเห็นผลอย่างเหลือเชื่อ ในทุกวันนี้จะมีผู้นิยมใช้ปลักขิกในฐานะของเครื่องรางที่ทำให้ค้าขายดีมีคนเข้าร้านมากมาย จึงนิยมในหมู่แม่ค้าและเจ้าของกิจการระดับทั่วไป แต่อีกกลุ่มหนึ่งที่ยังเหนียวแน่นเป็นแฟนพันธุ์แท้ของปลัดขิก คือ วัยรุ่นหรือหนุ่มที่ยังคงถือเก็บสะสมเครื่องรางของชายชาตรีให้ครบครัน ปลักขิก - ตะกรุด จึงเป็นเครื่องรางที่ไม่ถูกมองข้ามในกลุ่มนี้

หุ่นพยนต์

คือ หุ่นจำลองรูปคน
ที่สร้างโดยผู้มีเวทมนตร์คาถาเป็นความเชื่อในวิชาไสยศาสตร์ตั้งแต่ครั้งโบราณเรียกว่าวิชาผูกหุ่น สมัยโบราณใช้หญ้าแพรก, ไม้ไผ่, ขี้ผึ้ง, หรือผ้ายันต์แต่ปัจจุบันนี้ที่นิยมกันมาก คือการสร้างจากโลหะอาถรรพณ์ที่ใคร ๆยอมรับว่าขลังเป็นทวีคูณ จากวัตถุอาถรรพณ์เหล่านี้โดยทำเป็นหุ่นคนมีแขนมีขาแล้วปลุกเสกด้วยคาถาอาคม

ส่วนวัตถุอาถรรพณ์ที่หลวงพ่อนำมาสร้างหุ่นพยนต์ ในครั้งนี้ ก็เช่นตะปูสังฆวานร, เหล็กตรึงโลงศพ ๗ ป่าช้า, เหล็กขนันผี, เงินปากผี ๑๐๐ วัด, ตะปูโลงศพ๙ วัด และโลหะอาถรรพณ์อีกมากมายหลวงพ่อบอกว่าชนวนอาถรรพณ์ทั้งหมดนี้เป็นของขลังที่มีดีอยู่ในตัวแล้ว

สำหรับวิธีปลุกเสก หลวงพ่อได้แยกนำหุ่นพยนต์มาปลุกเสกเดี่ยว โดยเรียกพรายหุ่นพยนต์บรรจุเข้าไปในตัวหุ่นพยนต์ทุกตัว ตามหลักของกสิณคือปลุกเสกให้เกิดอุคหนิมิต โดยหนุนธาตุทั้งสี่เรียกสูตรเรียกนามเรียกจิต ให้มีฤทธิ์มีเดชใส่ขันธ์ห้าเรียกอาการ๓๒โดยอนุโลมปฏิโลม และเสกบรรจุลมปราณหายใจ ให้กับหุ่นพยนต์ตรึงรูปตรึงนามเสกจนหุ่นพยนต์เคลื่อนไหวได้ เรียกดวงจิตของหุ่นพยนต์ให้มีฤทธิ์มีตัวตนหลวงพ่อปลุกเสกจนหุ่นพยนต์ให้ เหมือนมีชีวิตเชื่อว่าสามารถใช้งานตามคำสั่งของเจ้าของได้

พุทธคุณนั้น เน้นในเรื่องเมตตามหานิยม โชคลาภ เรียกเงินเรียกทองขับไล่สิ่งอัปมงคลอำนาจชั่วร้าย และภูตผีปิศาจ กันคุณไสย ลมเพลมพัดกันและแก้ของไม่ดี บูชาไว้ติดตัวได้ทั้งหญิง และชาย บูชาไว้ในรถ สำนักงาน ร้านค้าเฝ้าเรือกสวนไร่นา กันขโมยปกป้องกันภัยให้แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

เขี้ยวเสือ มหาอำนาจวาสนา

เขี้ยวนับว่าเป็นเครื่องรางของขลัง ที่ได้รับความนิยมสูงสุดชนิดหนึ่ง เกจิอาจารย์บางท่านนำเขี้ยวมา แกะสร้างเครื่องรางของขลัง จนได้รับความนิยมให้นั่งอยู่แถวหน้า ประเภทเครื่องรางยอดนิยม เช่น เสือของหลวงพ่อปาน วัดคลองด่านหรือ เสือ อาจารย์เฮง วัดเขาดิน เป็นต้น


เสือเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ ราชศักดิ์สำแดงฤทธิ์ ทำให้เป็นที่คร้ามเกรงนับถือแก่ปวงชนทั้งหลาย
เขี้ยวเสือที่นำมาสร้างเครื่องรางของขลังเหล่านี้เชื่อกันว่า มีความขลังในตัวอยู่แล้ว ยิ่งนำมาทำพิธีปลุกเสกด้วยยิ่งเพิ่มความขลังเป็นทวีคูณขึ้นหลายเท่า
คุณวิเศษ ...ดีทางมหาอำนาจคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด มหาอุด

เฒ่าชูชก เครื่องรางแห่ง การขอ

ในบรรดาเครื่องรางของขลังที่มีนามว่า ชูชก นี้ที่มีความยอดเยี่ยมด้านโชคลาภ และเมตตามหานิยมสูงนั้น มีการสร้างด้วยกันหลายสำนัก ชูชก ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับมากที่สุดเห็นจะเป็นของ หลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน จ.สมุทรสาคร ซึ่งหายาก และมีมูลค่าสูง ต่อมาก็เป็น หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง
ชูชก พระอาจารย์ปราโมทและยังมีอีกหลายองค์ที่สร้างชูชกออก มาเช่น หลวงพ่อแล วัดพระทรง จ.เพชรบุรี หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม จ.นครปฐม หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ จ.ระยอง หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย จ.พระนครศรีอยุธยา

ชูชก มีอานุภาพทางด้านเสริมดวงในทางด้านขอโชคขอลาภ กู้หนี้ยืมสิน ขอลาภเงินทอง เจรจาขอผัดผ่อนหนี้สิน ขอเลื่อนและขอลาภจากผู้ใหญ่และด้านการขอทุกชนิด จึงเป็นที่มาของการบูชาชูชก สุดยอดของการขอสิ่งสูงสุดของ พระเวสสันดร หรือเลือดในไส้นั่นเอง และที่สำคัญมีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ

จัดว่าเป็นเครื่องรางชนิดหนึ่ง สุดยอดเครื่องรางแห่งการขอ ขอทานเฒ่าในนามที่ชื่อว่า ชูชก ผู้ที่เกิดมาเพื่อเป็นคู่บารมีของพระเวสสันดรโพธิสัตว์ ในฐานะผู้ขอกับผู้ให้
จากเรื่องราวชูชกขอทานผู้ที่มีเงินทองมากมายก่ายกอง มีภรรยาสาวสวย พระเกจิอาจารย์ท่านจึงสร้างไสยเวทวิชาที่สามารถดลบันดาลโชคลาภให้อย่างไม่มี ขีดจำกัด เป็นเมตตามหานิยมอย่างล้นเหลือ และสมบูรณ์ด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค


ตำนานชูชกปรากฏในมหาเวสสันดรชาดก พระเวสสันดรอันเป็นชาติสุดท้ายของการสั่งสมบารมีเพื่อการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ชูชกเป็น พราหมณ์อยู่ในเมืองกลิงคราษฎร์ [...]

ชูชก...พราหมณ์ใน มหาเวสสันดรกำลังเป็นที่นิยมในกลุ่ม เครื่องรางของขลัง

ซึ่งก็ได้รับคำเตือนจากพระภิกษุสงฆ์ หลายท่านว่า...อย่าได้งมงาย เนื่องจากพราหมณ์ผู้นี้ไม่เหมาะสมที่จะเลื่อมใส บูชา ด้วยประการทั้งปวง โดยเฉพาะในการที่เป็นขอทานเบียดเบียนสังคม แม้แต่ พระเวสสันดร ก็ยังไม่เว้น

ชูชก...อยู่ในยุคของทศชาติ และเป็นชั่วสุดท้ายที่พระเวสสันดรจุติมาบำเพ็ญบุญเพื่อประสูติเป็นพระพุทธเจ้า...การให้บุตร-ธิดาเป็นทานถือเป็นกุศลยิ่ง

...
ถ้าไม่ได้สร้างมหากุศลนี้ พระพุทธองค์จะบรรลุหรือไม่แม้แต่พระอินทร์ยังเห็นดีเห็นงามด้วยแล้วแปลงร่างลงมาช่วยเพื่อให้ทานนั้นสมหวัง

วิถีชีวิตของ ชูชกเป็นปริศนาธรรม...ยาจกผู้ร่ำรวย รู้จักมัธยัสถ์เก็บเล็กผสมน้อย จนมีทรัพย์สิน และ เป็นคนซื่อไว้ใจวางใจผู้อื่นถึงได้เอาทรัพย์สินไปฝากโดยไม่มีการเคลือบแคลงใจว่าจะถูกโกง

การที่กินกระทั่งพุงแตก นั้น ด้วยที่ว่าอาหารที่นำมาเลี้ยงมีมากหากกินเหลือก็จะเป็นเศษทิ้งเน่า เป็นมลภาวะ จึง ต้องให้หมดเพื่อขจัดปัญหาที่จะเกิดขึ้น...

และ...ที่ถือว่าเป็นเอก มีวาสนา ได้คู่ครองที่ดี สาว สดสวยจนเพื่อนบ้านพากันอิจฉา...!!

ความมีศรัทธาต่อชูชกจะเลื่อมใสขนาดไหนนั้นก็แล้วแต่ละกลุ่มชนที่ถูกฝัง ในความเชื่อและประสบการณ์กับความขลังที่เกิดขึ้นอย่างที่...วัดทรงธรรม อำเภอพระประแดงสมุทรปราการ มี ชูชกองค์ใหญ่ เป็นไม้แกะสลักศิลปะแบบรัตนโกสินทร์ประดิษฐานมานานนมเป็นสมบัติเก่าแก่เชื่อว่าสร้างขึ้นด้วยศรัทธาของชาวมอญ

...
กรมศิลปากรเข้ามาสำรวจและวิเคราะห์ว่าอายุราวๆ 200 ปี (สร้างในช่วงรอยต่อรัชกาลที่ 2 กับที่ 3) พระครูวิจิตรวิหารการ (อาจารย์หมู) เจ้าอาวาสฯบอกถึงความ

สำคัญว่า...ชาวไทยเชื้อสายมอญพากันเลื่อมใสมากต่างพากันแวะเวียนมาบูชากันอย่างไม่ขาดสาย จนกระทั่งต้องสร้างชูชกในรูปของวัตถุมงคลขึ้นในเวลาต่อมา

พระอาจารย์หมู บอกต่อว่า...เป็นเวลา 19 ปีแล้วที่อาตมาสร้างชูชกจ่ายแจก (มิใช่พุทธพาณิชย์) ห้ามจำหน่าย หรือ แลกกับปัจจัยใดๆ เพื่อให้เกิดบารมี

ปากต่อปาก...ข่าวนี้กระจายออกไปเรื่อยๆรวมถึงคนที่มีประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจาก พลังของชูชกจึงมีคนเข้ามาขอรับชูชกเป็นร้อยๆรายบางวันนับพันราย

เริ่มต้นในการสร้าง...จากนิมิตว่าชูชกมาหาขออยู่กับพระอาจารย์หมู และบอกว่า อยากให้ลาภกับคนทั่วๆไปเพื่อบำเพ็ญทานชดใช้กรรมเพียงหนึ่งแวบก็เลยตัดสินใจสร้างขึ้นมา...วัดทรงธรรมจึงเป็นเจ้าตำรับของชูชก

ครั้งนี้ สถานการณ์บ้านเมือง โดยทั่วๆไป เรียกว่าถึง ยุคข้าวยาก หมากแพงบุคคลทั่วไปต้องการกำลังใจ โดยเฉพาะ ชูชกกลายเป็นที่ต้องการ และเสาะแสวงหาจึงได้สร้าง รุ่นสิริ สมบัติ มหาโชค มหาลาภ สมปรารถนา มอบให้ วัดนรนาถสุนทริการามเทเวศร์ เขตพระนคร กทม.

โดย หลวงพ่อสิริ สิริวัฑฒโน วัดตาล นนทบุรี (พระเถราจารย์ท่านนี้เมื่อครั้งเป็นสามเณร เป็นผู้รดน้ำมนต์ให้กับ จอมพลสฤษดิ์ธนะรัชต์ ก่อนทำการปฏิวัติ)

ร่วมกับ พระครูวิจิตรวิหารการเจ้าอาวาสวัดทรงธรรม อธิษฐานจิตซึ่งเป็น ครั้งแรกในประวัติศาสตร์การสร้างที่ทำการปลุกเสกหน้าองค์ชูชกที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ในวันเสาร์ 5 คือวันที่ 20 มีนาคม วันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 ปีขาล...ก่อนทำการจ่ายแจก ศิษยานุศิษย์

และ...ในวันเดียวกันนี้ ณ วัดสุทธาวาส...จะมีงานใหญ่ปลุกเสกชูชกองค์ขนาดเท่าตัวคนจริง สูงประมาณ 165 เซนติเมตร เพื่อประดิษฐานไว้ที่วัดให้ผู้ที่ศรัทธาได้สักการบูชาสืบต่อไป ในอนาคต

วัดนี้อยู่เลขที่ 56 บ้านบางสะแก หมู่ 4 ถนนปทุม-บางเลน ตำบลลาดหลุมแก้ว อำเภอลาดหลุมแก้ว ปทุมธานี ซึ่งเป็นวัดหนึ่งที่โด่งดังในเรื่องเครื่องรางชูชก...จนเป็นเป้าให้ถูกโจมตี

พระอธิการสุนทรฐานวโร เจ้าอาวาสฯบอกว่า...ชูชกองค์นี้สร้างด้วยเงินบริจาคจากผู้ได้ชูชกรุ่นบันดาลทรัพย์ไปแล้วมีประสบการณ์พากันถูกหวยรวยเบอร์...มิใช่เป็นการแก้บนแต่เพื่อเป็น อนุสรณ์แห่งศรัทธา

พระอธิการสุนทร....เกจิอาจารย์รุ่นใหม่เป็นชาวลาดหลุมแก้วโดยกำเนิดก่อนเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ได้ ศึกษาอาคมกับลุงแท้ๆโดยสายเลือด

เมื่ออุปสมบทได้สืบทอดวิชาจาก หลวงพ่อกลิ่น ศิษย์ หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง แล้วออกธุดงค์ปฏิบัติตามแบบฉบับ หลวงพ่อกบ และ หลวงพ่อโอภาสี จนล่วงลงสู่อีสานตอนใต้ปรนนิบัติและศึกษาอาคมจาก หลวงปู่บุญมา เขมจาโร ณ วัดสวนหิน ผานางคอยกระทั่งสำเร็จ...จึงกลับจำพรรษาที่ วัดสุทธาวาส อันเป็นบ้านเกิด

ในการสร้างชูชกรุ่นบันดาลทรัพย์ ก็ทำพิธีกรรมปลุกเสกเดี่ยวโดยใช้คาถาที่ศึกษามาหลายบท จนมั่นใจในพลังแห่งอาคมศาสตร์จึงค่อยจ่ายแจกแก่ศิษยานุศิษย์

ชูชกบันดาลทรัพย์...ส่งพลังโชคจนต้องสร้างองค์ใหญ่ตามคำร่ำลือนามธรรมที่เกิดขึ้นเป็นประเด็นให้ผู้มีสติทั้งหลายฉุกคิด...หาคำตอบ

แต่...กับ รูปธรรมที่เด่นชัด คือการสร้างองค์ชูชก ถือว่าเป็นการ สืบสานธรรมจากพระไตรปิฎกซึ่งพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย...ควรตระหนัก...!!!

ตะกรุดโสฬสมงคล๒แบบและพระปิดตาตะกรุดยันต์ ๙ตัว

เมื่อ เอ่ยถึงยอดตะกรุด นอกจากสายตะกรุดจักรพรรดิของ หลวงปู่พิธ วัดฆะมังแล้ว ยอดตะกรุดอีกตำนานคือ ตะกรุดโสฬสมงคล ตำรับสายวัดสะพานสูง ของหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม ซึ่งบรรดาเครื่องรางของขลังหรือเบญจ ฯเครื่องรางของแวดวงนักสะสมเครื่องรางของขลัง ได้ให้การยอมรับและยกย่องให้ " ตะกรุดโทนมหาโสฬสมงคลของหลวงปู่เอี่ยม " วัดสะพานสูง ต. คลองพระอุดม อ.ปากเกร็ด จ. นนทบุรี ให้เป็นอันดับหนึ่ง และหายากที่สุดยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก ไม่มีนักเลงพระคนใดจะไม่รู้จัก อย่างน้อยก็ต้องได้ยินนักเลงพระด้วยกันเล่าขานถึง ผู้ใดมีต่างก็หวงแหนเป็นอย่ายิ่ง

ปรากฏกฤตยการแห่งตะกรุดโทนมหาโสฬสมงคลซึ่งชายชาติเสืออย่าง เสือจำเรียง ปางมณี หรือขุนโจร 5 นัดที่ยิ่งใหญ่, เสือผาด แก้วสนธิ , เสือเพี้ยน แดงสำวาลย์ และเสือแก่น ได้เคียนคาดอยู่แนบกายของเขาทั้งหลาย ได้สร้างความมหัสจรรย์และพรั่นรึงใจแก่บรรดาผู้ที่ได้รู้ได้เห็นมาแล้วใน อดีตกาลเมื่อราว 40-50 ปี เป็นที่สำแดงและยืนยันถึงอำนาจพุทธาคมที่มีอยู่เหนือชั้นบรรยากาศของเมือง ไทย ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง โดยปราศจากข้อกังขาใด ๆ เลย ซึ่งตะกรุดโทนของท่านได้รับการสร้างและปลุกเสกขึ้นมาด้วยอำนาจกฤตยะและพลัง จิตพิเศษผ่านปลายเหล็กจารถ่ายทอดลงสู่แผ่นโลหะ ในรูปแบบเลขยันต์อักขระเลขาจารึกแห่งสูตรมหาโสฬสมงคลและพระไตรสรณคมน์ล้อม รอบด้วยบารมี 30 ทัศน์อันพิเศษสุด พร้อมด้วยมนต์ปัสสาสะปราณชีพอันเคร่งฉมังของหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูงโดย ตำรับตะกรุดโสฬสมงคลนั้นมีที่มาดังนี้


ตะกรุดโสฬสมงคล เรียกให้ชัดเจนตามความหมายก็คือ ความเป็นมงคล 16 ประการซึ่งพระโบราณจารย์รุ่นก่อนเป็นผู้ฉลาดในอรรถธรรมได้วางกุสโลบายไว้ก็ คือ ได้นำเอาธรรมะคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาย่อไว้เป็นคาถา 16 คำ เป็นตัวเลขซึ่งเป็นหัวใจธรรมะที่สำคัญเพื่อการหลุดพ้นจากทุกข์โดยแท้ และเป็นธรรมราชาแห่งคาถาทั้งปวงมีคุณค่ามาก ท่านตีค่าไว้ถึงแสนตำลึงทอง ผู้ใดพบพระคาถาและนำมาเจริญภาวนาเป็นประจำทุกวัน สิ่งใดปารถนาจักสำเร็จโดยพลันปราศจากอุปสรรคขัดข้องใดๆ หากพบแล้วไม่นำมาภาวนาถือว่าท่านบุญน้อยเป็นไปตามกรรม


ตะกรุดยันโสฬสมงคล ใช้พระยันต์อันมีอิทธิคุณ เด่นถึง ๕ ยันต์ด้วยกัน มาลงไว้ในดอกเดียวกัน คือ

๑. ยันต์บารมี ๓๐ ทัศน์ อาวุธพระพุทธเจ้า มีอานุภาพทางด้านมหาอำนาจ เป็นตะบะเดชะชนะศัตรูผู้คิดร้ายแก่เรา

๒. ยันต์พระไตรสรณคมน์ ยันต์นี้ใช้ป้องกันรูปวิญญาณร้ายที่คอยหลอกหลอนคนหรือเจ้าที่แรง

๓. ยันต์คาถาโสฬสมงคล เป็นคาถาที่ใช้ปลุกเสก เครื่องลางของขลังให้ศักดิ์สิทธิ์ทำสิ่งที่ไม่เป็นให้เป็นทำสิ่งที่ไม่มีให้ มี ได้ด้วยอำนาจพระคาถาบทนี้

๔. ยันต์ตรีนิสิงเห ใช้ป้องกันไสยศาสตร์ประเภทมนต์ดำคือคุณไสยคุณผี คุณคนฝังรูปฝังรอย ลมเพลมพัดล้างอาถรรพ์ในที่แรง

๕. ยันต์จตุโร เป็นยันต์ที่ใช้ในทางมหานิยม โชคลาภ ทำมาค้าขึ้นเป็นสง่าราศีแก่ผู้มียันต์นี้

ไสยศาสตร์ เป็น วิชาวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยปรากฎการณ์ของพลังงานเหนือธรรมชาติ เกี่ยวกับเวทมนต์คาถาและเลขยันต์ ประกอบกับการใช้อำนาจสมาธิจิต ทำการสาธยายเวทมนต์คาถาสวดบริกรรม ภาวนาปลุกเสก อันเป็นความลี้ลับมหัศจรรย์
ไสยศาสตร์แบ่งออกหลายแขนง ในสมัยโบราณบรรพชนคนไทยเราได้ศึกษาเล่าเรียนสืบทอดกันมา เพื่อใช้เป็นสรณะยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ได้บรรลุผลสำเร็จแห่งความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ประจักษ์มาแล้ว

บรรพชนเหล่านั้น ท่านจึงได้จดจารึกไว้เป็นตำหรับตำรา และได้มีการคัดลอกกันสืบต่อๆกันมา เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนในวิชานี้สืบไป
ไสยศาสตร์ทุกประเภท ล้วนแต่เป็นวิทยาการว่าด้วยเรื่องเวทมนต์คาถาและเลขยันต์ทั้งสิ้น แต่ไม่ใช่ว่าผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนจดจำกฎเกณฑ์ต่างๆจนจบหลักสูตรแล้ว จะนำเอาเวทมนต์เหล่านั้นไปใช้ ให้เกิดประโยชน์ได้ผลสำเร็จสมความปรารถนาได้เลยทีเดียวก็หาไม่ ทั้งนี้จะต้องทำการฝึกหัดสมาธิจิตให้แน่วแน่มั่นคงควบคู่กันไปด้วย จึงจะได้ผลสำเร็จจนเป็นที่พอใจ

ความสำคัญของวิชาไสยศาสตร์ขึ้นอยู่กับพลังจิต
ลัทธิไสยศาสตร์ได้เกิดขึ้นมาก่อนพุทธกาล มีคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ชื่อ "ไตรเพท" ในลัทธิของพราหมณ์ คัมภีร์นี้ได้แยกออกเป็น 4 ประเภท คือ
1 มฤเวทย์
เป็นคำฉันท์ ใช้สำหรับสวดมนต์และสรรเสริญเทพเจ้า
2 ยชุรเวทย์
เป็นคำร้อยแก้ว ใช้สำหรับท่องบ่นเวลาบวงสรวงเทพเจ้า
3 สามเวทย์
เป็นคำฉันท์ ใช้สำหรับสวดมนต์ทำพิธีถวายน้ำโสม
4 อาถรรพเวทย์
เป็นคัมภีร์ประกอบด้วยเวทมนต์คาถา เรียกผีสางเทวดา ให้ช่วยป้องกันภัยอันตรายให้ และให้มีการแก้อาถรรพ์ ทำพิธีสาปแช่งให้เป็นอันตรายได้ด้วย

มฤเวทย์
เป็นปรากฎการณ์แห่งความคิดของพวกอาริยัน บุคคลพวกนี้ มีความเชื่อถือเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในโลก สรรพสิ่งทั้งหลายถือว่าอยู่ภายใต้อำนาจแห่งเทพเจ้าทั้งสิ้น เทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย บันดาลให้มนุษย์และสัตว์โลก มีความเป็นไปต่างๆนาๆได้ทุกประการ
พวกอาริยัน จึงได้ประพันธ์บทสวดมนต์สรรเสริญเทพเจ้าไว้ 1,017 องค์ พวกอาริยันถือเอาความสำคัญของเทพเจ้าเป็นใหญ่
ยชุรเวทย์
เป็นบทสวดมนต์และวิธีใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆทางศาสนา
สามเวทย์
เป็นคำสวดพิธีถวายน้ำโสม ซึ่งเป็นน้ำเมาชนิดหนึ่ง แด่ปวงทวยเทพเทวดา โสมได้รับการสถาปนาให้เป็นสมมุติเทพองค์หนึ่งด้วย
อาถรรพเวทย์
เป็นหลักของไสยศาสตร์ ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ทางไสยศาสตร์ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์
พระเวทย์ทั้ง 4 ประเภทนี้ เป็นคัมภีร์อันยิ่งใหญ่ของพราหมณ์ พระเวทที่สำคัญยิ่ง คือ อาถรรพเวทย์ อันเป็นคัมภีร์แสดงถึงความศักดิ์สิทธ์ทางเวทมนต์คาถา มี 8 ประเภท คือ

1
พระเวทย์แก้โรคต่างๆ
2
พระเวทย์ประสาน
3
พระเวทย์สะเดาะ
4
พระเวทย์ป้องกันตัว
5
พระเวทย์แสดงปาฎิหารย์
6
พระเวทย์ให้โทษต่อผู้อื่น
7
พระเวทย์แก้ภูตผีปีศาจ
8
พระเวทย์ทำเสน่ห์

Pages