เคล็ดลับการคิด ชีวิตก้าวหน้า

จิตวิทยา กระบวนการคิด

คุณเคยเห็นคนที่ก้าวไป ไม่ย่อท้อภายใต้ความเครียดไหม คุณรู้ดีว่าคนประเภทไหนที่เป็นแบบนี้ เวลาที่คุณคิดว่างานหนักท่วมทับ คนพวกนี้จะเห็นเป็นความท้าทายที่น่าตื่นเต้น เวลาที่คุณเห็นหนทางน่ากลัวในดินแดนที่ไม่เคยไป พวกเขาเห็นเป็นการผจญภัย
บาง ที คนพวกนี้รู้ว่าอย่างน้อยวิธีเอาชนะผลกระทบด้านลบของความเครียดซึ่งอาจเป็น สาเหตุให้น้ำหนักเพิ่ม เป็นโรคหัวใจ ซึมเศร้าและวิตกกังวล อยู่ที่การรับมือ “ไม่เครียดเลยก็น่าเบื่อ ดังนั้น เครียดบ้างก็ดี” ดร. โรเบิร์ต มอนเดอร์ นักจิตวิทยาแห่งโรงพยาบาลเมาท์ไซไนในแคนาดา กล่าว “แม้ความเครียดที่เข้มข้นเกินไปจะเป็นผลดีได้ยาก แต่มีวิธีเชิงบวกที่จะรับมือกับความเครียดนั้น” นี่คือเจ็ดวิธีที่จะช่วยคุณเพิ่มทักษะขจัดความเครียด

1 เปลี่ยนความกังวลเป็นการแก้ปัญหา
“ความ กังวลคือกระบวนการของการจินตนาการถึงผลลัพธ์ที่เจ็บปวดหรือแม้กระ ทั่งหายนะโดยไม่มีแผนป้องกันที่มีประสิทธิ ภาพ” แมตทิว แม็กเคย์ หนึ่งในผู้แต่งหนัง สือแบบฝึกหัดผ่อนคลายและลดความ เครียด แนะให้หาทางออกที่เป็นไปได้เพื่อตัดวงจรความกังวลออกไป “ในกระบวนการรับรู้ของสมองมีความแตกต่างกันระหว่างการคิดถึงความสำเร็จกับ การจดจ่อที่ความล้มเหลว” แม็กเคย์และผู้แต่งร่วมแนะให้ฝึกดังนี้

ก. แยกแยะปัญหาให้ชัดเจน เช่น “ฉันรู้สึกว่าแบกงานจนหลังแอ่นเพราะถึงกำหนดเส้นตายหลายงานในเดือนเดียวกัน”

ข. ระดมความคิดเพื่อหา ทางออก

ค. ประเมินแนวคิดแต่ละข้อ ใส่เครื่องหมาย X ตรงข้อที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ใส่เครื่องหมายคำถามตรงข้อที่คิดว่าทำได้ยาก และ Y ตรงข้อที่คิดว่าทำได้ทันที

ง. กำหนดวันที่จะทำตามแนว คิด Y ให้สำเร็จลุล่วง

จ. เมื่อทำข้อ Y เสร็จแล้ว กลับไปดูข้อที่เคยทำเครื่องหมายคำถามไว้ ตอนนี้บางข้อพอมีความเป็นไปได้หรือยัง

ฉ. ท้ายที่สุด กลับไปดูข้อที่ทำเครื่องหมาย X ไว้ ตอนนี้เป็นไปได้จริงๆหรือไม่

2 มีอารยะไว้เสมอ
พฤติกรรม หยาบคายไม่ใช่แค่น่ารำคาญ แต่ยังเป็นต้นกำเนิดของความเครียดและวิตกกังวล การศึกษาชายหญิงกว่า 1,500 คนที่สหรัฐฯ เมื่อปี 2551 พบว่า พฤติกรรมอนารยะในที่ทำงานมีผลกระทบทางลบต่อสุขภาพกายและจิตของผู้ที่ตกเป็น เหยื่อของการประชดประชัน ครหานินทา หรือเมินเฉย ประหลาดใจไหมล่ะ คนที่ทำงานกับเหยื่อพวกนี้ก็พลอยเสียสุขภาพไปด้วย “อาจเป็นผลของ ‘ประสบ การณ์ตกเป็นเหยื่อร่วม” เนื่องจากเห็นการกระทำที่เป็นอนารยะ หรือกลัวว่าตนเองอาจเป็นเหยื่อรายต่อไป” แซนดี ลิมแห่งมหาวิท ยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ผู้ร่วมเขียนรายงานการศึกษา กล่าว

3 ถามตอบตัวเอง
หากคุณเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับการวิตกกังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น บรรดาผู้แต่งหนังสือ แบบฝึกหัดผ่อนคลายและลดความเครียด แนะกลวิธีนี้เพื่อลดความกระ วนกระวายใจ หลังนอนหลับสบายและกินมื้อเช้าครบถ้วน ซึ่งเป็นสองกิจกรรมปัดเป่าความเครียดที่แม่พูดถูก ให้เขียนสิ่งที่กังวลลงในกระดาษ จากนั้นถามตัวเองว่าถ้าสิ่งที่อยากให้เกิดไม่เกิด หรือสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดกลับเกิด ผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดกับฉันคืออะไร จากนั้นถามตัวเองว่าเรื่องดีๆที่อาจเกิดขึ้นมีอะไรบ้าง ถ้าสิ่งที่ฉันอยากให้เกิดไม่เกิด หรือสิ่งที่ฉันไม่อยากให้เกิดกลับเกิด ค้นหาความคิดหรืออารมณ์เชิงบวกที่คุณจะดึงออกมาได้ขณะนึกหาทางออกอื่น

4 เจาะลึก
เรื่อง ร้ายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเสมอไป เวลาปลูกข้าวโพด เมื่อเริ่มต้นเจอความแห้งแล้งก็กลายเป็นประโยชน์ได้เพราะทำให้รากชอนไชลึกลง ไปเพื่อหาน้ำ มีข้อดีอะไรบ้างไหมในเรื่องที่ทำให้คุณเครียด แทนที่จะคิดหมกมุ่นกับฝนแล้ง ดูสิว่าคุณจะสร้างความแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างไรจากการ “มองหาน้ำ” มอนเดอร์กล่าวว่า การมองหาความหมายและคุณค่าจากประสบการณ์ที่พานพบช่วยทำให้สถานการณ์ที่ตึง เครียดพอทนได้มากขึ้น

5 สร้างตัวกระตุ้นภายใน
งาน วิจัยใหม่ของมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันในเรื่องสมองระบุว่า ความเครียดเรื้อรังเป็นมูลเหตุให้สมองถูกทำลายเพราะเซลล์สมองหยุดสร้างเซลล์ ใหม่ ข่าวดีนะหรือ สภาพแวดล้อมเป็นปัจจัยกระตุ้นที่ช่วยฟื้นฟูส่วนที่ถูกทำลายนั้นได้โดยเร่ง สร้างเซลล์ใหม่ เพิ่มขึ้นมา ดร. ดัก ซอนเดอร์ส นักจิตวิทยาที่ให้คำปรึกษาผู้ป่วยและสอนที่มหาวิทยาลัย โทรอนโต แนะให้ทำกิจกรรมที่เรียกว่า “สร้าง เกาะแห่งความสงบ” โดยเลือกกิจกรรมที่ตัวเองชอบเพื่อให้สมองทำงานอย่างเพลิดเพลินจนเวลาผ่านไป เร็วแทบไม่รู้ตัว อาจวิ่ง ทำสวน หรือเล่นปริศนาอักษรไขว้ อะไรก็ได้ที่ช่วยหันเหความเครียดในใจออกไป “เหมือนการทำสมาธิกลายๆ เป็นวิธีพักฟื้นจิตใจและร่างกายจากสภาวะจะสู้หรือหนีซึ่งเป็นผลกระทบของความ เครียดเรื้อรัง” อยากเพิ่มประสิทธิผลของการขจัดความเครียดไหม ลองหากิจกรรมที่เกิดประโยชน์ทั้งต่อร่างกายและจิตใจ ในกรณีศึกษาผู้ใหญ่เกือบ 20,000 คนในอังกฤษเมื่อปี 2551 พบว่า คนที่ออกกำลังทุกวัน แค่ออกกำลังง่ายๆด้วยการเดินก็ได้ มีโอกาสเครียดสูงน้อยกว่าคนที่ไม่ออกกำลังถึงร้อยละ 41

6 หาแรงบันดาลใจให้ตัวเอง
บาง คนพบว่าการอ่านเรื่องราวของคนอื่นช่วยให้รับมือกับความ เครียดได้ดีขึ้น มอนเดอร์แนะให้มองหาแรงบันดาลใจใกล้ๆตัว “การถอยกลับสักก้าวและทบทวนความสำเร็จของตัวเองในอดีตจะช่วยให้รับมือปัญหา ได้ดีขึ้น” เขากล่าว “กรรมวิธีนี้ช่วยตอกย้ำให้ตัวเองว่า ‘ฉันเคย รับมือกับเรื่องราวมากมายในอดีตมาแล้ว เรื่องนี้จะจัด การอย่างไรดี’ ”

7 แบ่งเบาภาระออกไป

นัก วิจัยที่มหาวิทยา ลัยแพทย์กราซในออสเตรียศึกษาเมื่อปี 2550 พบว่า การบำบัดพฤติกรรมแบบกลุ่มในระยะสั้นได้ผลลัพธ์ออกมาดี ช่วยลดแรงดันเลือดและความ เครียดโดยรวมของผู้รับการบำบัดที่เครียดเพราะงานหนัก “วางแผนกิจกรรมที่จะทำประจำวัน มีครอบครัวและเพื่อนคอยสนับ สนุนให้ลงมือทำกิจกรรมใหม่เหล่านี้ จะมีส่วนช่วยให้คุณรับมือกับความเครียดด้วยวิธีใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น” ซอนเดอร์สกล่าว

ทำงานมานานหลายปี เคยคิดไหมว่า...ทำไมเรายังไม่ถึงไหนสักที!


คนอื่นๆ ที่มาทีหลัง ทำไมเขาถึงได้ก้าวไปได้เร็วนัก?



ใครที่กำลังประสบปัญหาในการทำงานแบบนี้ รวมไปถึงคนที่เวลาเจอเจ้านายให้เข้ามาช่วยระดมสมองเพื่อคิดเรื่องใหม่ๆ อะไรสักอย่างแล้วมักจะ “คิดไม่ออก” หรือรู้สึกความคิดตีบตันไปหมด จงอย่าเพิ่งท้อ หรือคิดจะเปลี่ยนงานเพื่อหนีปัญหาเด็ดขาด

เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ล้วนเกิดจากการที่เราดำเนินชีวิตแบบทำซ้ำๆ หรือทำตามประสบการณ์ที่เคยทำมา ซึ่งนานๆ เข้ากลายเป็นทำงานตามความถนัด ทำให้สมองไม่ได้คิดเรื่องใหม่ๆ หรือฝึกฝนการคิดเลย ดังนั้นเมื่อวันหนึ่งที่ต้องมานั่งคิดอะไรใหม่ๆ หรือที่เรียกกันว่าคิดสร้างสรรค์บ้าง คิดนอกกรอบบ้าง เลยทำให้สมองฝืด จะคิดอะไรก็ติดๆ ขัดๆ ไปหมด

ฟังอย่างนี้เลยก็อย่าเพิ่งท้อ หรือรีบเถียงซะก่อนว่าจะทำอย่างไรได้ล่ะ ก็ไม่ได้เกิดมาเป็นคนคิดสร้างสรรค์นี่ --- เพราะเรื่องนี้ อ.รัศมี ธันยธร ผู้อำนวยการศูนย์ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านความคิดสร้างสรรค์ในประเทศไทย มีวิธี “แก้ปัญหา” และ “สูตรเรียนลัด” สำหรับการฝึกคนธรรมดาๆ ให้เป็นคนคิดเป็นและคิดสร้างสรรค์มาฝากกัน

แต่ก่อนจะไปรู้จักสูตรเรียนลัด มาลองรู้จักคำว่า “คิดเป็น” และ “คิดสร้างสรรค์” ตามแบบฉบับผู้เชี่ยวชาญด้านความคิดสร้างสรรค์กันก่อน

“การคิดแบบสร้างสรรค์ คือ การคิดหาคำตอบที่ถูกต้องได้หลายคำตอบ ไม่ใช่มีแค่ข้อเดียว ประเภทเธอถูก - ฉันผิด ประการสำคัญคนคิดสร้างสรรค์จะเป็นคนคิดบวกและคิดเป็นระบบ ทำให้การตัดสินใจอย่างมีคุณภาพ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นคนที่ ‘คิดเป็น’ นั่นเอง”

อ.รัศมี เล่าว่า การคิดสร้างสรรค์เป็นความจำเป็น ไม่ใช่แค่เฉพาะเรื่องการทำงาน แต่เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตทุกๆ ด้านให้ดีขึ้นได้อย่างมหัศจรรย์ทีเดียว เพียงแค่เริ่มต้น “เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็เปลี่ยน” แต่จะเปลี่ยนอย่างไรนั้น อ.รัศมี ได้เผยสูตรเรียนลัดสู่การคิดเป็นและคิดสร้างสรรค์อย่างง่ายๆ ซึ่งมีเพียง 4 ข้อ ดังนี้

1.ปรับทัศนคติเดิม (Adjust Attitude) เริ่มด้วยการเชื่อเสียก่อนว่าความคิดสร้างสรรค์ฝึกกันได้ เพราะนั่นเป็นความจริงที่ยืนยันได้จากประสบการณ์ตรงที่สอนหลักสูตรด้านการ คิดสร้างสรรค์อย่างครบวงจรมาเข้าปีที่สิบ คนทุกคนสามารถฝึกที่จะเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ได้แน่นอน ไม่ว่าเขาจะมีอายุเท่าไร ตำแหน่งอะไร แต่จุดสำคัญคือเราฝึกให้เขามีความคิดสร้างสรรค์อย่างเดียวไม่พอ ต้องฝึกให้เขาสามารถนำความคิดสร้างสรรค์มาใช้ในการทำงานในชีวิตประจำวันได้ และต้องผสมผสานกับการคิดทางบวกด้วย เพื่อให้แนวการคิดเป็นไปในทางดีงาม และเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย


2.ฝึกเขียนโจทย์ (Define Focus) คนเราอยากได้ความคิดหลายๆ ความคิด (Ideas) เราจึงอยากคิด แต่ก่อนที่จะลงมือคิดหาความคิด หรือไอเดียนั้น ต้องมีโจทย์ที่ชัดเจนก่อนว่าจะคิดในหัวข้ออะไร เหมือนคนมีปืนและมีกระสุนปืนอยู่ครบพร้อมที่จะยิง แต่ก็จะไม่ยิงแบบไม่มีเป้าหมาย ก่อนยิงต้องเล็งไปที่เป้า นั่นหมายความว่าต้องมีเป้า หรือรู้เป้าอย่างชัดเจนก่อนว่าจะยิงอะไร ตรงไหน เป้าอยู่ที่ไหน นักยิงปืนไม่ยิงก่อนรู้เป้า เพราะเสียทรัพยากรทุกอย่างโดยเปล่าประโยชน์ นักคิดสร้างสรรค์ก็ต้องมีเป้าหมายชัดเจนว่าอยากแก้ปัญหาอะไร อยากพัฒนาอะไร อยากได้ความคิดใหม่เกี่ยวกับอะไร ข้อที่จะคิดนั้นก็คือโจทย์ที่จะเป็นตัวตั้งในการหาความคิดต่อไป


3.หาความคิด (Create Ideas) นำโจทย์มาคิดหาความคิดตามที่กำหนดไว้ในโจทย์ทีละข้อ โดยพยายามคิดให้ได้ความคิดใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำ ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นที่ไหนทำมาก่อน ความคิดใหม่เช่นนั้นเรียกว่า ความคิดสร้างสรรค์ สิ่งหนึ่งที่ควรรู้เพื่อให้เข้าใจเรื่องความคิดสร้างสรรค์ได้ทะลุปรุโปร่ง ยิ่งขึ้น คือ สมองของคนเรามีหน้าที่จำสิ่งที่เคยรู้ เคยทำมา และชอบให้ทำซ้ำสิ่งที่เราเคยรู้และเคยทำมา เพราะฉะนั้นยามใดก็ตามที่เราอยากคิดให้ได้ความคิดใหม่ๆ สมองจะพาเรากลับไปคิดถึงความคิดเก่าที่เราจำได้เสมอ นั่นเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เมื่อเรารู้เท่าทันสมอง เราก็สามารถเลี่ยงได้ “วิธีเลี่ยง” คือ เมื่อคิดได้ แต่ความคิดนั้นเหมือนกับสิ่งที่เราเคยรู้มาก่อน เราก็เริ่มคิดอีกโดยพยายามคิดไปทางอื่นที่เป็นคนละทิศละทางกับทางเดิมๆ และเลี่ยงที่จะคิดทางลบตั้งแต่แรก เพราะการคิดทางลบจะพาให้เห็นแต่ความเป็นไปไม่ได้ ความยากลำบาก และข้อบกพร่องต่างๆ เขาต้องไม่คัดค้านความคิดใหม่ของตัวเอง และของคนอื่นด้วย ขอให้คิดให้ได้หลายๆ ความคิดก่อน แล้วค่อยมากลั่นกรองและคัดเลือกในภายหลัง

4.กลั่นกรองและสรุปรวมความคิด เมื่อได้ความคิดใหม่มามากกว่าหนึ่งความคิด แล้วนำมาพิจารณาดูว่าความคิดใดบ้างที่มีแก่นแท้และแนวทางไปในทางเดียวกันก็ จัดรวมให้อยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน ในที่สุดเขาก็จะได้แนวทางหลักใหญ่ๆ สองหรือสามแนวทาง หลังจากนั้นชวนให้พิจารณากลั่นกรองทีละแนวคิดใหญ่ ซึ่งบัดนี้ถือว่าเป็นความคิดหนึ่ง หรือไอเดียหนึ่งนั่นเอง ให้พิจารณาทีละความคิด ด้วยการมองประโยชน์ของความคิดนั้นก่อนว่ามีอะไรบ้าง จากนั้นค่อยมาเช็กว่าความคิดนั้นมีจุดอ่อน และอาจก่อให้เกิดปัญหาอะไรบ้าง และช่วยกันคิดหาทางแก้ไขและปรับแต่งให้เหมาะสมล่วงหน้า เพื่อไม่ให้มีปัญหาหลังจากลงมือทำไปแล้ว สุดท้ายก็สรุปได้ว่ามีแนวทางใดบ้าง และตกลงจะทำอย่างไรต่อไป เป็นอันเสร็จขั้นตอนในการคิดสร้างสรรค์ จากนั้นก็ต้องนำความคิดที่ได้ไปทำแผนปฏิบัติการ หรือแอ็กชันแพลน เพื่อเป็นจุดตั้งต้นในการดำเนินงานให้สำเร็จต่อไป

รอยร้าวจากตะปู

มีเด็กน้อยคนหนึ่งอารมณ์ไม่ค่อยจะดี พ่อของเขาจึงให้ตะปูกับเขา 1 ถุงและบอกเขาว่า ทุกครั้งที่ลูกรู้สึกไม่ดี โมโห หรือโกรธใคร
ก็ตาม ให้ตอกตะปู 1 ตัวลงไปที่รั้วหลังบ้านก็แล้วกัน


วันแรก ผ่านไป
เด็กน้อยตอกตะปูเข้าไปที่รั้วถึง 37 ตัว วันที่ 2 และ วันที่ 3 และแต่ละวันที่ผ่านไป ผ่านไปจำนวนตะปูก็ค่อยๆลดลง ลดลงๆ เพราะเด็กน้อยรู้สึก ว่า การรู้จักควบคุมตัวเองให้สงบ ง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ

แล้ววันหนึ่ง หลังจากที่เขาสามารถ ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขาเดินไปหาพ่อเพื่อบอกว่า เขาคิดว่าเขาไม่จำเป็นที่
ต้องตอกตะปูอีกแล้ว เพราะเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาสามารถควบคุม
ตัวเองได้ดีขึ้น ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนแล้ว

พ่อยิ้มแล้วบอกลูกชายว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ลองพิสูจน์ ให้พ่อดู ทุกๆครั้งที่ลูกสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเองได้
ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้านที่ละ 1 ตัว


วันแล้ววันเล่า เด็กชาย
ก็ค่อยๆถอนตะปูออกทีละตัว ๆ จนในที่สุด วันหนึ่งตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออกเด็กชายดีใจมากรีบวิ่งไปบอกพ่อของเขาว่า ผมทำได้แล้วครับ ในที่สุดผมก็ทำได้สำเร็จ

พ่อ ไม่ได้พูดว่าอะไร แต่จูงมือลูกของเขาไปที่รั้วนั้น แล้วบอก ลูกทำได้ดีมากทีนี้ลองมองกลับไปที่รั้วสิ เห็นมั๊ยว่ารั้วมันไม่เหมือนเดิม
มันไม่เหมือนกับที่มันเคยเป็นก่อนหน้านี้


ลูกจำไว้นะ ว่าเมื่อไหร่ที่เราทำ
อะไรลงไปด้วยการใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมักจะเกิดรอยแผล เหมือนกับการเอามีดไปกรีดหรือแทงใครเข้า ต่อให้ใช้คำว่า..ขอโทษ..สักกี่หน ก็ไม่อาจจะลบรอยแผลหรือความเจ็บปวดที่เกิดกับเขาคนนั้นได้

ลูก จงจำ คำว่า ..ขอโทษ..ไว้เสมอนะ ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เรา หรือ ไม่ก็ตามนะ
จำไว้อีกด้วยว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้น รอยร้าวที่เกิดขึ้นกับเขา เขาอาจจะไม่มีวันลืมมันได้......ตลอดไป

สิ่งที่สำคัญคือ รู้ทันความโกรธให้เร็วที่สุด ทันทีที่สติรู้ทันว่า เราปล่อยให้ความโกรธครอบงำ อย่างน้อยมันจะหยุดเพ่งโทษคนอื่น
วางความยึดมั่นว่าเราถูกลงเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขสถานการณ์
ดีกว่าปล่อยให้ความยึดว่า ตัวเองถูกเสมอ หรือฐิทิมานะมาทำลายทุกอย่างรวมทั้งชีวิตตัวเราเอง

ข้อคิดชีวิตวันนี้
๑.กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน
?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ

๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี?
(
๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(
๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(
๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(
๔) ขออย่าให้ตายในสงครามระหว่างคนไทยด้วยกันเอง

๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข

๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน

๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง

๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(
๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(
๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข ้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(
๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ
ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา

๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเ ราได้

๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี?
(
๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(
๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(
๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ

๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา

๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี?
(
๑) หางานใหม่
(
๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(
๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(
๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่

๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย

๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ
คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า

๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน

๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน
ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ

๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(
๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(
๒) ได้ถามตัวเอ??ว่า เราเกิดมาจากใคร
(
๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง

๑๖. สวดมนต์บทไหนดี?
(
๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(
๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า
จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(
๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้
คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง


๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี?
(
๑) เราคว รมีธรรมะให้เขาดู
(
๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(
๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส
เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด

๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก?
(
๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(
๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(
๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน

๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วม ผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน

๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน
มองอย่างพินิจจะพบว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี

ปรัชญาชีวิต จาก ท่าน ว.วชิรเมธี

เหยือกเต็มแล้วหรือยัง?
อาจารย์สอนวิชาปรัชญา เขาเดินเข้าห้องเรียนมา พร้อมด้วยของสองสามอย่างบรรจุอยู่ในกระเป๋าคู่ใจ
เมื่อได้เวลาเรียน เขาหยิบเหยือกแก้ว ขนาดใหญ่ขึ้นมาแล้วใส่ลูกเทนนิสลงไปจนเต็ม
' พวกคุณคิดว่าเหยือกเต็มหรือ ยัง ?' เขาหันไปถามนักศึกษาปริญญาโท

แต่ละคนมีสีหน้าตาครุ่น คิดว่าอาจารย์หนุ่มคนนี้จะมาไม้ไหนก่อนจะตอบพร้อมกัน ' เต็มแล้ว... '
เขายิ้มไม่พูดอะไรต่อ หันไปเปิดกระเป๋าเอกสารคู่ใจ
หยิบกระป๋องใส่กรวดออกมา แล้วเทกรวดเม็ดเล็กๆ จำนวนมากลงไปในเหยือกพร้อมกับเขย่าเหยือกเบาๆ
กรวดเลื่อนไหลลงไปอยู่ระหว่าง ลูกเทนนิสอัดจนแน่นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีก “ เหยือกเต็มหรือยัง ?'
นักศึกษามองดูอยู่พัก หนึ่งก่อนจะหันมาตอบ
' เต็มแล้ว... '

เขายังยิ้มเช่นเดิม หันไปเปิดกระเป๋าหยิบเอาถุงทรายใบย่อมขึ้นมา และเททรายจำนวนไม่น้อยใส่ลงไปในเหยือก เม็ดทราย ไหลลงไป ตามช่องว่างระหว่างกรวดกับลูกเทนนิสได้อย่างง่ายดาย เขาเทจนทรายหมดถุง เขย่าเหยือกจนเม็ดทรายอัดแน่นจนแทบล้นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีก ครั้ง
“ เหยือกเต็มหรือยัง ?'

เพื่อป้องกันการหน้าแตก นักศึกษาปริญญาโทเหล่านั้นหันมามองหน้ากัน ปรึกษากันอยู่นาน
หลายคนเดินก้าวเข้ามาก้มๆ เงยๆ มองเหยือกตรงหน้าอาจารย์หนุ่มอยู่หลายครั้ง มีการปรึกษาหารือกันเสียงดังไปทั้งห้องเรียน จวบจนเวลาผ่านไปเกือบห้านาที หัวหน้ากลุ่มนักศึกษาจึงเป็นตัวแทน เดินเข้ามาตอบอย่างหนักแน่น
“ คราวนี้เต็มแน่นอนครับ อาจารย์ ' “ แน่ใจนะ '
“ แน่ซะยิ่งกว่าแน่อีกครับ '

คราว นี้เขาหยิบ น้ำอัดลม สองกระป๋องออกมาจากใต้โต๊ะ แล้วเทใส่เหยือกโดยไม่รีรอ ไม่นานน้ำอัดลมก็ซึมผ่านทราย ลงไปจนหมด ทั้งชั้นเรียนหัวเราะฮือฮา กันยกใหญ่ เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ ไหนพวก คุณบอกว่าเหยือกเต็มแน่ๆ ไง ' เขาพูดพลางยกเหยือกขึ้น



ผมอยากให้พวกคุณจำบทเรียนวันนี้ไว้ เหยือกใบนี้ก็เหมือนชีวิตคนเรา
ลูก เทนนิสเปรียบเหมือน เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต เช่น ครอบครัว คู่ชีวิต การเรียน สุขภาพ ลูก พ่อแม่และเพื่อน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คุณต้องสนใจจริงจัง สูญเสียไปไม่ได้
เม็ดกรวดเหมือนสิ่งสำคัญ รองลงมา เช่น งาน บ้าน รถยนต์
ทรายก็คือเรื่องอื่นๆ ที่เหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจำเป็นต้องทำ แต่เรามักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้

เหยือกนี้เปรียบกับชีวิตของคุณ ถ้าคุณใส่ทรายลงไปก่อน คุณจะมัวหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา
ชีวิตเต็มแล้ว... เต็มจนไม่มีที่เหลือให้ใส่กรวด ไม่มีที่เหลือใส่ให้ลูกเทนนิสแน่นอน '

ชีวิตของคนเราทุกคน ถ้าเราใช้เวลาและปล่อยให้เวลาหมดไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราจะไม่มีที่ว่างในชีวิตไว้สำหรับเรื่องสำคัญกว่า เพราะฉะนั้นในแต่ละวันของชีวิต เราต้องให้ความสนใจกับเรื่องที่ทำให้ตัวเราและครอบครัวมีความสุข

ใช้ชีวิตเล่นกับลูกๆ หาเวลาไปตรวจร่างกาย พาคู่ชีวิตกับลูกไปพักผ่อนในวันหยุด พากันออกกำลังกาย เล่นกีฬาร่วมกันสักชั่วโมงสองชั่วโมง เพื่อสุขภาพและความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิต พาพ่อแม่ไปเที่ยวพักผ่อนหรือทานข้าว โทรศัพท์หาเพื่อนบ้างให้รู้ว่าเรายังคิดถึงและเป็น ห่วง เราต้องดูแลเรื่องที่สำคัญที่สุดจริงๆ ดูแลลูกเมียพ่อแม่ของเราก่อนเรื่องอื่นทั้งหมด หลังจากนั้นถ้ามีเวลาเหลือเราจึงเอามาสนใจ กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่ รอบๆ ตัวเรา


นักศึกษาคนหนึ่งยกมือ ขึ้นถาม “ แล้วน้ำที่อาจารย์เทใส่ลงไปล่ะครับ หมายถึงอะไร ?'
เขา ยิ้มพร้อมกับบอกว่า “ การที่ใส่น้ำลงไปเพราะอยากให้เห็นว่า ไม่ ว่าชีวิตของเราจะวุ่นวาย สับสนเพียงใด แต่ในความสับสนและวุ่นวายเหล่านั้น คุณยังมีที่ว่าง สำหรับการแบ่งปันน้ำใจให้กันเสมอ... '

ท่าน ว.วชิรเมธี ท่านได้ให้พร 4 ข้อ ดังนี้

1. อย่าเป็นนักจับผิด
คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง ” กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก”
คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส “จิตประภัสสร” ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี “แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข”

2. อย่ามัวแต่คิดริษยา
“แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน” คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า ” เจ้ากรรมนายเวร ” ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้องถอดถอน
ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น ” ไฟสุมขอน ” ( ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน
เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี ” แผ่เมตตา ” หรือ ซื้อโคมมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป

3. อย่าเสียเวลากับความหลัง
90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ ” ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น ”
มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ ” อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน ”
” อยู่กับปัจจุบันให้เป็น “ ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี ” สติ ” กำกับตลอดเวลา

4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ
” ตัณหา ” ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ ” ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม ”
ทุกอย่างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่ คุณค่าเทียม เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ ไว้ดูเวลาไม่ใช่มีไว้ใส่เพื่อความโก้หรู
คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คืออะไร คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์
เราต้องถามตัวเองว่า เิกิดมาทำไม ” ” คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน ” ตามหา ” แก่น ” ของชีวิตให้เจอ
” คำว่า ” พอดี “ คือ ถ้า ” พอ ” แล้วจะ ” ดี “ รู้จัก ” พอ ” จะมีชีวิตอย่างมีความสุข ”

อ่านครับแต่ยังไม่ได้ปฎิบัติ ต้องทำก่อน ถ้าเป็นไปอย่างที่เขียนไว้ก็ขอบคุณ แต่ถ้าไม่เป็นไปตามที่เขียนไว้ก็ถือว่าเป็นวิธีหนึ่งที่ได้ทำ

ขอบคุณครับ

จินตนาการ และ แรงบันดาลใจ

เคยมีคำกล่าวว่า จินตนาการ มีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตให้ประสบความสำเร็จมากกว่าวิชาความรู้ และเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นเรื่องจริง ในหลายหน่วยงานของต่างประเทศ นอกจากวิชาความรู้ที่ต้องมีการทดสอบและคัดเลือกแข่งขันกันแล้ว จินตนาการถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมีในคนระดับผู้นำและระดับบริหารเป็น อย่างยิ่ง ชีวิตคนที่ประสบความสำเร็จจากการไต่เต้าต่อสู้ดิ้นรน มักเป็นคนที่มีจินตนาการในอนาคต ซึ่ง จินตนาการ คือกระบวนการสร้างแนวคิดหรือสร้างภาพในสิ่งที่ยังไม่เคยได้กระทำมาก่อน เป็นการคาดหวังที่ไร้กรอบและเขตกั้น เมื่อเราเอาเหตุและผลมาใส่รวมกันจะได้เป็นจินตนาการที่อยู่บนพื้นฐานของความ เป็นไปได้

แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญต่อความสำเร็จในชีวิตด้วยเช่นกันที่เรียก ว่า แรงบันดาลใจ สิ่งที่เรียกว่าแรงบันดาลใจนี้จะเป็นพลังอำนาจในตนเองชนิดหนึ่งที่มีผลขับ เคลื่อนต่อความคิดและการกระทำที่มุ่งหวังให้สำเร็จสมความปรารถนา เป็นแรงจูงใจที่เกิดขึ้นจากภายในจิตใจของเราเอง เพื่อที่จะกระตุ้นให้สามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวงไปสู่จุดที่มุ่งหวัง โดยมีความหมายแตกต่างกับคำว่า แรงจูงใจ ซึ่งแรงจูงใจ หมายถึงอารมย์ที่เกิดจากการรับรู้สิ่งเร้าจากภายนอกจนแสดงออกในพฤติกรรมทางกาย ส่วน แรงบันดาลใจ หมายถึงพลังจากจิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้ในตัวตนของเรา หรือที่เรียกว่า การสำนึกรู้ เป็นพลังการจุดประกายความคิดและการสร้างสรรค์


วิธีการสร้างแรงบันดาลใจที่ดี ต้องมีครบ 3 ประการคือ
1.
สร้างความเชื่อมั่นในตนเอง

2. มีความมุ่งมั่นในการกระทำ

3. มีศรัทธาในความสำเร็จของตนเอง

มักมีข้อห้ามไม่ให้สร้างจินตนาการโดยขาดความพอดีและไม่อยู่บนพื้นฐานของความน่าจะเป็นไปได้ ที่เรียกว่า การเพ้อฝัน

ส่วน แรงบันดาลใจที่ดีต้องไม่เกิดจากความทรงจำในตัวเรา ต้องเกิดจากจิตใต้สำนึกที่เป็นอิสระต่อระบบความคิด ไม่ผูกมัดอยู่กับแนวทางแบบเดิมที่เคยเป็น เมื่อเอาความศรัทธาในพลังอำนาจจากพระเครื่องมารวมเข้าด้วยกัน จะได้แรงบันดาลใจที่อยู่บนความศรัทธาในตัวเอง โดยเชื่อมั่นในพลังอำนาจวิเศษที่คอยคุ้มครองเราอยู่ เป็นการปลุกจิตใต้สำนึกให้เกิดพลังงานอีกแบบหนึ่ง ซึ่งตลอดเวลาที่ผมได้เขียนวิธีบูชาพระ หรือการใช้พระเครื่องและการเชื่อมั่นศรัทธาในพระพุทธคุณไปแล้วนั้น เมื่อผนวกกับการสร้างสมาธิในจิตใจตนเองแล้ว เราทุกคนสามารถมีพลังงานผลักดันให้ตนเองประสบความสำเร็จในชีวิตได้ โดยมาจากแรงบันดาลใจและพลังศรัทธา เช่นที่เคยเขียนไว้แล้วว่า ต้องประสานรวมทุกอย่างเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ทั้งพลังกาย พลังใจ พลังศรัทธา พลังอำนาจวิเศษและพลังจิตใต้สำนึก การสร้างแรงบันดาลใจนี้ เป็นการสร้างพลังงานและเป็นวิธีที่ทั่วโลกยอมรับกันแพร่หลายและมีบรรจุอยู่ ในหลักคำสอนต่างๆสำหรับการมุ่งสู่จุดสูงสุดของความฝัน แต่ของไทยเราเอาพลังศรัทธาจากพระเครื่องมาประยุกต์รวมกันไปด้วย ทำให้ได้สองพลังผลักดันจากจิตใต้สำนึกของเราเอง ควรเอามาลองปฏิบัติดูบ้าง

อ่านเรื่องนี้แล้ว คุณอาจจะมองคนอื่นเปลี่ยนไป


อยากให้คิดมากกว่าที่อ่านนี้ (เหตุการณ์พวกนี้ยังใช้ได้อยู่ในปัจจุบัน)

นี่คือความจริงบนโลกใบนี้

คนบนโลกนี้มากกว่า 90% ตัดสินคนอื่น จากสิ่งที่เขาเห็นเท่านั้น

ซึ่งแน่หละ ไม่มีใครต้องการให้คนอื่นเห็นในด้านร้ายของตัวเอง

นี่จึงเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งของคนบางจำพวก



อย่าพึ่งดูเฉลยนะ

 

 
ลองคิดในใจดูเล่นๆก่อน





1. ถ้าคุณรู้จักผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเธอกำลังตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน มีลูกอยู่แล้ว 8 คน ลูก 3 ใน 8 คนนั้นหูหนวก อีก 2 คนตาบอด และ 1ใน 8 คนนั้นมีอาการทางสมอง(Mentally Retard)และตัวเธอเองก็ป่วยเป็นโรคทางเพศ(Syphilis) คุณจะแนะนำให้เธอทำแท้งหรือไม่

2.หากในตอนนี้เป็นเวลาที่เรากำลังจะเลือกผู้นำของโลกและคุณก็เป็นคนหนึ่งที่มีสิทธิจะลงคะแนนคุณจะเลือกใครใน 3 คนต่อไปนี้

ผู้สมัคร A : ชอบคบหาสมาคมกับนักการเมืองที่มีประวัติคดโกง ปรึกษาโหราศาสตร์เป็นประจำ มีเมียน้อย 2 คน สูบบุหรี่จัด ดื่มเหล้าทุกวัน วันละ 8 - 10 แก้ว

ผู้สมัคร B : ถูกขับออกจากการเป็นสมาชิกสภา มาแล้ว 2 ครั้ง ตื่นนอนตอนเที่ยง ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเคยมีประวัติสูบฝิ่น ดื่มเหล้าวันละครึ่งขวด

ผู้สมัคร C :ได้รับตราเหรียญเชิดชูเกียรติในสมรภูมิรบ เป็นมังสวิรัติ ไม่สูบบุหรี่ ดื่มเบียร์เป็นบางครั้ง มีภรรยาแค่คนเดียว

คุณจะเลือกตอบแบบใหน? ใคร? คิดไว้ในใจแล้วมาฟังคำตอบ



อย่าขี้โกงนะ ได้คำตอบกันหรือยัง..

















มาดูคำตอบกัน


ข้อ 1
หากใครคิดแนะนำให้หล่อนไปทำแท้งแล้วล่ะก็ หมายความว่าคุณเพิ่งตัดสินใจฆ่า "บีโธเฟ่น" คีตกรผู้ยิ่งใหญ่ของโลกไปเสียแล้วล่ะ

ข้อ 2
ผู้สมัคร A คือ ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี รูสเวลท์(Franklin D.Roosevelt)ประธานาธิบดีผู้เป็นที่รักของชาวอเมริกัน

ผู้สมัคร B คือ นายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิล(Winston Churchill) นายกรัฐมนตรีผู้ยิ่งใหญ่ของอังกฤษ ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2

ผู้สมัคร C คือ ผู้นำอดอล์ฟ ฮิตเลอร์(Adolf Hiltler) ผู้ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิวอย่างโหดเหี้ยม ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นเอง




ข้อคิด

ข้อที่ 1. สิ่งที่ทุกคนต้องการ คือ โอกาส
ข้อที่ 2. จงตัดสินใจคนที่การกระทำ ไม่ใช่เพียงภาพพจน์ภายนอก

 

ความสุขที่ถูกมองข้าม(พระไพศาล วิสาโล)

คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่าง ๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป

ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า "ชีวิต(ของ ผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ" ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า "ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง" เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่น ๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็น เศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?

คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด

แต่ ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่า นี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่
แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน


ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรา มีความสุุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มาใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบ ปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน

พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่าความสุขจากการมี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่ จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม

บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา
จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิด ไม่เฉพาะแต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา

ถ้า หากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก "เฉย ๆ" เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ?


เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี

ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หา ไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบ เทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบ เทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน

นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคน อื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา

การมองแบบนี้ทำให้ "ขาดทุน" สองสถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมา คาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือตัวมันเอง) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ

บ่อ เกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่ แล้ว เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น

แทน ที่จะแสวงหาแต่ความสุขจาก การได้ ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการ มี หรือจากสิ่งที่ มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการ ให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุนั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้ และ การ ไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง

สิบแง่คิดดีๆสำหรับชีวิตประจำวัน

1.Stay out of trouble
จงหลีกห่างจากความยุ่งยาก เพราะถ้าตกลงไปแร้วมันขึ้นมาได้ยาก

2.Aim for greater heights. มองเป้าหมายให้สูงๆหน่อย เผื่อเหนียวเอาไว้พลาดไปเดี๋ยวเดือดร้อน

3.Stay focused on your job.
ทำความชัดเจนในเป้าหมายของงานที่ทำ ผิดเป้าหมายแล้วจะเหนื่อย

4.Exercise to maintain good health.
ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพ เพราะไม่มีใครช่วยเราได้

5.Practice team work.
ต้องเล่นกันเป็นทีม เพื่อเสริมพลัง

6.Rely on your trusted partner to watch your back. Take your time trusting others.
ให้เพื่อนร่วมงานที่ดีคอยช่วยสังเกตงานเราและเราก็แบ่งเวลาไปช่วยเพื่อนด้วย

7.Save for rainy days.
ใช้ทรัพยากรเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้ด้วยในยามฉุกเฉิน

8.Rest and relax.
มีเวลาหยุดพักผ่อนและบันเทิงบ้าง ให้รางวัลกับตัวเอง

9. Always take time to smile.
ยิ้มเสมอในทุกสถานะการณ์ เดี๋ยวดีเอง

AND
และ

10.Realize that nothing is impossible.
รู้ไว้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้

This should make you smile:
และนี่จะทำให้คุณยิ้มออก...

THE SENILITY PRAYER : Grant me the senility to forget the people I never liked anyway, the good fortune to run into the ones I do, and the eyesight to t! ell the difference.
คำ อธิษฐานของผู้อาวุโส : ให้ฉันชราลงเถอะ ฉันจะได้จำคนที่ฉันไม่ชอบไม่ได้ เป็นโชคดีของฉันแล้วที่ผ่านวัยมาจนวันนี้และได้เห็นความเปลี่ยน แปลงแห่งชีวิต

Always Remember:
จำไว้เสมอว่า:

You don't stop laughing because you grow old,

you grow old because you stop laughing!!!

คุณไม่หยุดหัวเราะเพราะคุณแก่ขึ้น

แต่คุณแก่ลงเพราะคุณหยุดหัวเราะ.

Pages