วัตถุอาถรรพ์ ธาตุกายสิทธิ์

เรื่องราวความอาถรรพ์และที่มาของเครื่องรางของขลังที่คนส่วนใหญ่ที่เชื่อเรื่องของโชครางต่างรู้จัก และพากันค้นหาอยากได้มาไว้ติดตัว และดิ้นรนอยากที่จะเป็นเจ้าของ เพื่อความโชคดีความแคล้วคลาดปลอดภัย หนังเหนียวหรือเพียงเพื่อความเป็นศิริมงคลหรืออะไรก็แล้วแต่ซึ่งเราเรียกของขลังเหล่านี้ว่า ธาตุกายสิทธิ์ ชึ่งมีทั้งที่มีต้นกำเนิดการได้มาจากตัวคน จากพืช และจากสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อีกมากมายฯลฯ

- อันดับแรกเราลองมารู้จักของกายสิทธิ์ที่เกิดขึ้นในตัวคนกันก่อน สิ่งเหล่านั้นได้แก่ ลูกอัณฑะทองแดง ตับเหล็กเคราทองแดง อากาศธาตุ และลูกกรอก

- ที่เกิดขึ้นในสัตว์ก็ คือ ช้องหมูป่า เขี้ยวหมูตัน ฟันเสือกลวง หนังหน้าผากเสือโคร่ง งากำจัด

- ส่วนที่อยู่ในพืช หรือเกิดจากพืช นิยมเรียกว่าคดเช่น คดขนุน คดมะพร้าว บางครั้งเรียกเฉพาะเจาะจงลงไป เรียกว่า กะลาตาเดียวกะลามหาอุด(ไม่มีตา) พญางิ้วดำ เป็นต้น สำหรับวัตถุอาถรรพ์ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจากสิ่งที่มีชีวิต มีอยู่จำนวนมาก พอสมควร

- ส่วนใหญ่เป็นพวกแร่ธาตุ อัญมณี ที่รู้จักกันดีก็คือ เหล็กไหล เหล็กน้ำพี้ ปรอท คดหิน คดดินต่างๆในบรรดาาเครื่องรางของขลังเหล่านี้นักไสยศาสตร์เชื่อว่าเป็นวัตถุอาถรรพ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ในตัว ไม่ต้องปลุกเสก ด้วยคาถาอาคมอะไร ก็นำมาใช้ำด้แต่ก็มีเหมือนกัน ที่มักจะนำมาลงคาถาอาคม กำกับอีกครั้งหนึ่งเพื่อเพิ่มความเข้มขลังให้เป็นทวีคูณ

- ความเป็นมาของช้องหมูป่ามีความเชื่อของที่มาแตกต่างกันออกไป บ้างเชื่อว่า ช้องหมูป่าเป็นเส้นขนพิเศษของหมูป่า ที่ขึ้นอยู่บริเวณตัวของหมูป่าโดยเฉพาะที่บริเวณหัว หรือหว่างคิ้วของมันมีความยาวเป็นพิเศษนักไสยศาสตร์เชื่อกันว่าเป็นของขลังชนิดหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์ด้านคงกระพันมหาอุด

- ส่วนอีกกลุ่มเชื่อว่า ช้องหมูป่า คือขนที่ยาวเป็นพิเศษของหมูป่า โดยเฉพาะหมูโทนซึ่งหมายถึงหมูตัวผู้ที่ชอบหากินอยู่ตัวเดียว อย่างทรนงมันจะมีขนเหนือสันหลังขึ้นมาถึงโหนกคอ ยาวเป็นพิเศษเหมือนหางเปียย้อยลงมาตรงหน้าผาก ยาวจนถึงปากของมันหมูป่าจะคาบช้องของมันเอาไว้ตลอดเวลา โดยพันเอาไว้กับเขี้ยวด้านหนึ่งเชื่อกันว่าช้องหมูป่าแบบนี้มีความคงกระพันมหาอุดคุ้มครองทั้งหมูที่เป็นเจ้าของช้องและคนที่มีช้องของหมูป่าไว้ครอบครอง ส่วนความเชื่อของกลุ่มหลังสุดนี้พิศดารน่าสนใจมาก เชื่อกันว่าช้องหมูป่า เป็นขนที่ขึ้นอยู่บริเวณลูกอัณฑะของหมูป่าหรืออาจเรียกว่าขนเพชรหมูป่าก็น่าจะได้จัดเป็นขนลักษณะพิเศษเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วหมูป่าโทนที่ชอบออกหากินตัวเดียวไม่เกรงกลัวใคร จะใช้ปากและฟันเลียและกัดขนชองมันมาไว้ในปากตวัดและเคี้ยวด้วยน้ำลาย จนขนรวมตัวกันเป็นวงหรือขมวดกลมๆ หรือวงแหวนหมูจะรักษาขนนี้ไว้ในปากตลอดเวลาไม่ว่าจะกินอะไรมันก็จะซ่อนไว้ในปากได้ อย่างประหลาดหมูป่าตัวนั้นจะมีความอยู่ยงคงกระพันเป็นมหาอุดตลอดเวลาที่มันมีขนนั้นอยู่ในปาก ลูกกระสุนปืนนายพรานจะไม่สามารถทำอะไรมันได้ ดังนั้นพรานป่า นักล่าทางไสยศาสตร์จึงต้องคอยติดตามหมูตัวที่ต้องการไป คอยจนมันกินน้ำ ตอนกิน น้ำนี่เองที่หมูป่าจะคายขน หรือช้องหมูป่าออกมาวางไว้บนโขดหินบ้าง บนขอนไม้บ้างเพื่อให้มันได้กินน้ำอย่างสะดวก พอมันคายช้องหมูป่าออกมาแล้วนายพรานก็จะยิงหมูตัวนั้นได้แล้วจึงค่อยไปเก็บเอาช้องหมูป่าเอามาเป็นเครื่องรางของขลังติดตัวกันเชื่อกันว่าจะทำให้ปืนยิงไม่ออก หรือยิงไม่เข้า แต่ต้องพกติดตัวไว้ตลอดห่างแค่คืบ แค่ศอกก็จะไม่สามารถคุ้มครองป้องกันได้

- ตับเหล็ก ทางภาคกลาง และทางภาคเหนือเรียกว่าตับทองแดง เล่ากันว่าตับเหล็ก หรือตับทองแดงนี้ จะไม่ไหม้ไฟคือศพของคนที่มีตับเหล็กนี้ตับจะไม่ไหม้ไฟจะเหลือตับเหล็กไว้ให้ถือเป็นของขลังชนิดหนึ่งตับเหล็กหรือเคราทองแดงนี้เชื่อกันว่าเป็นของขลังที่สามารถ เกิดขึ้นกับร่างกายของคนที่ มีอาคมแก่กล้า มีคาถาอาคม เสกว่านยากินเป็นประจำทำให้ตับเป็นเหล็ก หรือเคราเป็นทองแดงใช้มีดโกนไม่เข้าก็มีแต่ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าเกิดขึ้นเองได้ แต่ไม่ได้มี หรือเกิดขึ้นได้กับทุกคนนานๆจะพบเห็นกันซะที

- งากำจัด เป็นวัตถุอาถรรพ์ที่ได้ยินกันบ่อยๆแต่เป็นของที่หายากมากๆ งากำจัดนี้ หมายถึง งาช้างที่หักคาต้นไม้เป็นงาชองช้างตกมัน หรือช้างเกเร อารมณ์ร้ายและมีฤทธิ์เดชมากเมื่ออาละวาดหนักเข้า ก็จะเอางาของตัวเองแทงต้นไม้ใหญ่ จนงาหัก คาต้นไม้คนที่ไปพบเข้าก็จะนำเอามาทำเป็นเครื่องรางของขลังเชื่อกันว่ามีอิทธิฤทธิ์มีอำนาจ ที่จะป้องกันได้ในทุกทาง แต่ต้องระวังให้ดีเพราะของปลอมมีมาก จนหาของจริงไม่เจอส่วนใหญ่แล้วหากได้งาจำกัดมาคนก็มักจะนำไปให้อาจารย์ ที่มีวิชาอาคมขลังแกะเป็นเครื่องรางของขลัง นิยม นำมาทำด้ามมีดหมอ

- คด ยอดคงกระพัน ในส่วนของพืช เครื่องรางของขลัง ที่มีผู้นิยมกันมากๆคือ คด มีลักษณะเหมือนหิน เช่นคดขนุน และคดมะพร้าวที่มีผู้ต้องการมากคือ คดขนุนที่กลายเป็นหิน ซึ่งจะให้คุณทั้งด้านความคงกระพัน แคล้วคลาด และเมตตามหานิยมปัจจุบันมีผู้ทำของปลอมออกมาโดยเอาหิน เอากรวดสวยๆ มาเจียระไน ตบแต่งเป็นคด หลอกขายกัน

- อากาศธาตุ หรือฟันอาถรรพ์ ของขลังที่หายากอีกอย่างหนึ่ง อากาศธาตุ หมายถึง ฟันคน ที่ขึ้รอยู่บนเพดานปาก แทนที่จะขึ้นอยู่บนเหงือก เหมือนคนปกติทั่วไปใครมีฟันแบบนี้ ย่อมคงทนต่ออาวุธทั้งปวงฟันบนเพดานปากนี้จะขึ้นเองตามธรรมชาติเมื่อขึ้นมาแล้วจะไม่ผุไม่กร่อนเหมือนซี่อื่นๆ จะมีความคงทนและอยู่กับเจ้าของไปตลอด และห้ามบอกใคร เพราะอาจจะโดนทุบและยึดฟันไปทำของขลังได้อิอิ

ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกท่าน และ คุณหนุ่มเมืองแกลง

ให้แม่เหยียบหัว (ขอขอบคุณเจ้าของบทความด้วยครับ)

อะไรคือสุดยอดของขลังที่ท่านขุนพันธ์ใช้สยบไสยดำของ อะแวสะดอตาและ ขุนโจรชาวมุสลิม ซึ่งเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านไสยศาสตร์ มนต์ดำผู้มีสันดานโจน ใจคอโหดร้ายจนไม่มีผู้ใด กล้าแตะต้องสิ่งที่ท่านขุนพันธ์ท่านใช้ในการแก้เคล็ดสยบไสยดำนี้ คือการให้มารดาบังเกิดเกล้าของท่าน ใช้เท้าขยี้ลงไปบนศีรษะของตนเองสามรอบ เพื่อเป็นศิริมงคลและเพื่อเป็นการ ทำลายความอาถรรพ์ในตัว ของอะแวสะดอตา และด้วยเหตุนี้ จอมวายร้าย อย่างอะแวสะดอตาและจึงไม่อาจสู้ท่านขุนพันธ์ได้ ไสยเวทมนต์ดำ ที่มันมีอยู่ เครื่องรางของขลังหลายอย่าง ที่มันใช้ติดตัว จึงมีอันเสื่อมสลายไปเพราะถึงแม้กระสุนปืน ของท่านขุนพันธ์จะทำอะไร อะแวสะดอ ตาและไม่ได้แต่มันก็หมดเรี่ยวแรง เปลี่ยนสภาพ จากเสือร้าย กลายเป็นแมว ยอมให้จับกุมในที่สุด

การให้แม่ใช้เท้าขยี้ศีรษะนี้
เพราะท่านขุนพันธ์ถือความกตัญญูเป็นสิ่งสูงสุด ฝ่าเท้าของแม่เทียบเท่าฝ่าเท้าของพระอรหันต์หรือ พระพรหมวิชาความรู้ใดๆที่เรียนมาย่อมต่ำกว่าเสมอวิธีการถือเคล็ดแบบนี้ มีมาแต่โบราณกาลนักรบโบราณขอเศษชายผ้าถุงแม่ หรือขอชานหมากของพ่อติดตัวไป ก่อนไปออกสนามรบก็ล้วนเกิดปาฎิหารย์มากมาย

ย้อนกลับไปช่วงเวลา ที่ท่านขุนพันธ์ ต้องปราบโจรอะแวสะดอ ตาและ ตรงกับปี พ.ศ. 2481ซึ่งเป็นช่วงเวลา ที่ท่านขุนพันธ์จัดว่ามีความรู้ทางด้าน ไสยศาสตร์เต็มตัว ส่วนอะแวสะดอ ตาและ เป็นจอมโจรแห่งเทือกเขาบูโด มีความเชี่ยวชาญทางไสยศาสตร์ อย่างหาตัวจับ ยากทั้งๆที่เป็นชาวมุสลิม เขาสามารถรูดโซ่ตรวนสะเดาะกุญแจ แคล้วคลาด คงกระพัน ตัวเขามีของขลังติดตัวอยู่ 5ชนิด คือ ตับเหล็ก เคราทองแดง ช้องหมูป่า ผ้าประเจียด และกริชอาคม

อะแวสะดอตาและ มีพฤติกรรมการปล้นฆ่าที่น่ากลัวมากเลือกปล้นเฉพาะคนไทย ฆ่าเจ้าทรัพย์ทุกราย โดยวิธีใช้กริชแทงคอหมุนเอาหลอดลมออกมา และบางรายเขาก็จะใช้กริช ขว้านท้องดึงไส้ออกมาซึ่งเขาจะเลือกฆ่าเฉพาะคนไทยพุทธเท่านั้น กว่าทางตำรวจจะจัดการกับเขาได้ ต้องใช้เวลาตามจับอยู่นานท่านขุนพันธ์ เล่าไว้ว่าตอนที่ยิงต่อสู้กันนั้นอะแวสะดอ ตาและ แกล้งทำเป็นตาย เพราะถูกตำรวจ ล้อมไว้แต่พอถูกจับได้เขากลับอ้าปากคลายกระสุน ออกมาให้ดู 9นัด หน้าตาเฉยเขาจึงเป็นโจรไสยศาสตร์อีกคนหนึ่งที่อาวุธของท่านขุนพันธ์ไม่สามารถทำอะไรได้ว่ากันว่าอะแวสะดอตาและนี่เวลาเกิดคุ้มคลั่งของขึ้นๆมา เขาจะให้ลูกน้องรุมยิงด้วยอาวุธปืน นาๆชนิด แต่กระสุนปืนก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้

ที่น่าสังเกตุคือ แม้จะเป็นมุสลิม แต่ อะแวสะดอตาและ นับถือเครื่องรางของขลัง ของไทย ทุกชนิดและเขาแขวนผ้ายันต์ติดคอเขาไว้ตลอด แม้กระทั่งเวลาถูกจับกุมภายหลังถูกจับกุม เครื่องรางของขลังต่าง ๆถูกยึดไว้เป็นหลักฐานยกเว้นกริช ประจำตัวของอะแวสะดอ ตาและที่ท่านขุนพันธ์ ขอไว้เป็นที่ระลึก โดยให้เหตุผลว่าเป็นของมีอาคมหากตกไปอยู่กับคนอื่น อาจสร้างปัญหาขึ้นอีกดังนั้นกริชนนั้นจึงตกเป็นของท่านขุนพันธ์ตั้งแต่นั้นมาหลังจากอะแวสะดอตาและ ถูกจับได้ไม่นาน เขาก็กินยาพิษฆ่าตัวตาย ในห้องขังนั้นเอง

จากการปราบโจร อะแวสะดอตาและ ในครั้งนั้นทำให้ท่านขุนพันธ์ ท่านได้รับการขนานนาม จากชาวไทย มุสลิมว่า รายอกะจิ หมายถึง มือปราบพริกขี้หนู หรือ อัศวินตัวเล็ก อะไรทำนองนั้นนอกจากนี้ ท่านขุนพันธ์ ยังได้รับรางวัลจากเจ้าเมือง รัฐกลันตัน ประเทศ มาเลเซีย ส่งมีดพกเล่มหนึ่ง มาให้ ซึ่งท่านขุนพันธ์ ถือเป็นเกียรติอย่างสูง ในชีวิตในสมัยที่ท่านรับราชการอยู่ที่เมืองพิจิตรท่านจะพกกริชของอะแวสะดอ ตาและ ไว้ที่เอวซ้ายตลอดเวลา และพกปืนเมาเซอร์ต่อด้ามเหล็ก ไว้ที่เอว ด้านขวา อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน

วัตถุอาถรรพ์ทางธรรมชาติ แบ่งเป็น 5ประเภทดังนี้
1.ประเภทโลหะมี 2 สายได้แก่

โลหะประเภทที่ 1 ประเภทเหล็กไหลดำ ได้แก่เหล็กไหลดำ, เหล็กไหลตาน้ำ, ทองคำดำ, พญาสมิงเหล็ก, เหล็กไหลบารมี, โคตรเหล็กไหล, เหล็กหลบ, แร่บางใผ่, แร่เกาะล้าน และอื่นๆ
โลหะประเภทที่ 2 ประเภทเหล็กไหลขาว ได้แก่เหล็กไหลขาว, เหล็กเปียก, ทองคำขาว, สังฆวานร (ชินวรสังฆวานร), แร่เงินยวง, หยดน้ำฟ้า, วัชระธาตุ, โพธิสัตว์ธาตุอื่นๆ

2.ประเภทแร่ที่ใช้ในพิธีกรรมทางเวทย์ได้แก่
แร่เพชรนิล, แร่เขาเขียว (หินอัคนี) ต้องนำมาหลอมผ่านพิธีกรรม 7 ครั้งจะกลายเป็นเหล็กน้ำพี้, แร่เกาะล้าน

3.ประเภทปรอท ได้แก่
ปรอทกรอบ, เพชรหน้าทั่ง, แร่เพชรทอง, ข้าวตอกพระร่วง, ผงเกร็ดแก้ว หรือ ผงเพชรเกล็ดแก้ว, ผงมณีรัตน, กากน้ำนมแม่พระธรณี, ไข่มุกกวนอิม (ไข่มุกถ้ำ), ไข่หิน, เกล็ดมณีนาคราช, เกล็ดพญามังกรไฟ, สุธรรมธาราธาตุนำมาบดเป็นผงเรียกว่าผงสุริยัน, ผงจันจิราจันทราทิพย์โดยส่วนใหญ่จะนำผงสุริยันกับผงจันจิราจันทราทิพย์นำมา ทำมนต์สุริยันจันทรา, มนต์นาคราช, มนต์เทพรัญจวน, แร่เงิน, แร่ทอง, ผงเกร็ดแก้วพิสดาร, ชินวร, ขวานฟ้า, แร่ทรายทอง,แร่ทรายเงิน (ไหลคำคำ), แก้วขนเหล็ก, พระธาตุเหล็กไหล, โครตทรหต, เหล็กไหลบารมี,เหล็กไหลตาน้ำ, เหล็กเปียก, ตับหิน, โครตเหล็กไหล, เพชรพญานาค,เพชรพญางู, เขี้ยวหนุมาณ, เพชรน้ำค้าง, มณีนาคราช, เพชรน้ำรอด, แร่เฮมาไทด์(แร่ทรหต), เหล็กไหลแก่น, คตไม้สัก, ตะกั่วน้ำนม, ทองแดงดิบ, ทองแดงเถื่อน, คตหิน และอื่นๆ

4.ประเภทวัตถุอาถรรพ์แบบสัตว์ ได้แก่
คตผึ้ง, คตหอย, เพชรตาแมว, งากระเด็น(งาสลัด), งูปากเป็ด, จิ้งจกสองหาง, ผึ้งทำรังตามบ้าน, รกแมว,ลูกกรอก ,เขี้ยวหมูตัน, ปูหิน, เขี้ยวเสือกลวง, ตะขาบทองแดง, คตปลวก, กระโปกทองแดง, ตับทองแดง, คนลิ้นดำ , เขากวางคุต, งาช้างกลวง, นอแรด, คตหอยพระธาตุ และอื่นๆ

5. ประเภทวัตถุอาถรรพ์แบบพืช ได้แก่
กระชายดำ, ดอกตะใคร้, พญางิ้วดำ, กัลปังหาดำ, ตะกล่ำดำ, กลิ้งกลางดง, เถาวัลย์หลง, น้ำโมกผา, ทรายน้ำไหล, ครอบจักรวาล, ปอดำ, ตะกล่ำแดง, ขมิ้นหิน, เม็ดข้าวสารดำ, ข้าวเหนียวดำ, มือนาง, หมากไม้มณีโคตร, คตมะพร้าวคตมะขาม, คตหอย, คตปู, คตตะขาบ, คตขนุน, กาฝากรัก, กาฝากมะนาว, กาฝากมะรุม, กาฝากขนุน, กาฝากคูณ, กาฝากทับทิม ,กาฝากโพธิ์, กาฝากสักทอง, กาฝากตะเคียน, โพธิ์ใต้ต้น, ไม้กระบก,ไม้โมก, ไม้จันทรหอม, ไม้ถุมภีดำ, กะลาตาเดียว, กะลาไม่มีตา, ไพรดำ, คตขนุน, ผลยอป่าหิน, กาฝากไม้แดง, มะพร้างเห้งเจีย, ว่านนางพญาท้าวเอว, ว่านนางพญานาคราช, สรรพยา, ว่านโพรง, สากกะเบือแม่ม่าย, ไม้เขยตาย, กล้วยตานีออกปลีกลางกอ, ว่านพระพุทธเจ้า 5 พระองค์, ไผ่ตัน, ไผ่ตารอบกอ, ดอกไผ่, ตะเคียนทอง, ไม้สัก, ไม้ยมตายพราย, ว่านดอกทอง, เสน่ห์จันทร์แดง, เสน่ห์จันทร์ขาว, เสน่ห์จันทร์เขียว, ส้มป่อย, หญ้าพระอินทร์, น้ำนมราชสีห์, หนุมานประสานกาย, หนุมานนั่งแท่น, รางจืด, เสลตพังพอน, เถาวัลย์เปรียง, โคคลาน, ผักเสี้ยนผี, ว่านพญาใหญ่, มหาลาภ, พระพุทธเจ้าหลวง, ว่านมหากาฬ, ว่านพระอาทิตย์, ว่านช้างผสมโขลง, เงินไหลมา, เศรษฐีเรือนใน, เศรษฐีเรือนนอก, ว่านเศรษฐี, รางเงินว่านรางทอง, เขียว 1,000 ปี, เขียว 10,000 ปี, ว่านนกคุ้ม และอื่น ๆ

ประเภทพืชที่ใช้ในการแก้อาถรรพ์ ได้แก่ ผักกะเฉด, ผักแว่น, มะระ, สัปปะรด, มะนาว, มะเฟือง, มะม่วง, มะกรูด, ไพร, ขิง, ข่า, ขมิ้น, ตะใคร้ มีฤทธิ์อำนาจในการชำระล้างคุณไสยที่เกิดจากลมเพลมพัด

คดขนุน”หินกายสิทธิ์ความผิดปกติทางธรรมชาติที่เป็นความเชื่อ

· “คด” ในพจนานุกรม ฉบับราชบัญฑิตยสถาน ได้นิยามความหมายว่า “ หินที่เกิดขึ้นในพืชหรือสัตว์ “ โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ใช่ฟอสซิลที่ถูกทับถมและเปลี่ยนสภาพตามกาลเวลา แต่เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นในขณะที่พืชและสัตว์นั้น ยังมีชิวิตอยู่เกิดในช่วงชิวิตของมันเนื่องจากความผิดธรรมชาติ จึงมักมีความเชื่อว่ามี พลังอำนาจบางอย่างมาทำให้เป็นไป และพลังอำนาจนั้นต้องมีความเข้มแข็งมากด้วย บางพวกถึงกับเชื่อว่าเป็นการจุติลงมาเกิดในภพมนุษย์ของทวยเทพในลักษณะหนึ่ง วัตถุประเภทนี้จึงมีสรรพคุณต่างๆทั้งทางด้านเป็นยารักษาโรค และมีอำนาจในด้าน ต่างๆ ในสมัยโบราณเหล่านักรบและผู้ที่ต้องเสี่ยงภัยต่างเสาะแสวงหาคดชนิดต่างๆมา เพื่อป้องกันตัวตามความเชื่อของแต่ละคน เนื่องจากคดพบได้ในพืชและสัตว์ จึงมีหลายชนิดซึ่งพอจะค้นคว้ามาเล่าสู่กันได้ ดังนี้

· คดขนุนหรือเม็ดขนุนทองแดง
· เป็น คดที่พบในขนุนที่ออกลูกใต้ดิน จะพบเม็ดในของผลขนุนลูกใดลูกหนึ่ง มีสภาพแข็งเป็นหินโดยมากจะพบเพียงเม็ดเดียวกรณีที่ผลไม้ออกผลในลักษณะที่ แปลกประหลาดเช่นนี้ โบราณท่านมักถือว่าเป็นอาเพศที่ต้องทำพิธีบรวงสรวงเทพยดา เพื่อให้กลับ ร้ายกลายดี คือจะทำให้เจ้าของต้นขนุนที่ว่านี้เกิดโชคลาภ โภคทรัพย์สมบูรณ์ แต่ไม่ใช่การเซ่นสรวงอย่างในปัจจุบัน ที่หวังหาเลขหวยจากกรณีผิดธรรมชาติที่ว่านี้

· คด ขนุนหรือบางทีอาจเรียกเม็ดขนุนทองแดง จะมีลักษณะเหมือนเม็ดขนุนในยวงธรรมดานี่เอง แต่ตัวเม็ดในจะแดงคล้ำและแข็ง เหมือนหินแต่ไม่ใช่เป็นทองแดงนะครับ เพียงแค่ดูเหมือนเท่านั้นเองเดี๋ยวท่านจะหาว่าเว่อเขียนเกินจริง เอาเป็นว่าของลักษณะนี้มีจริงๆ ครับตามรูปประกอบเรื่องที่ถ่ายจากของจริงๆเดี๋ยวจะหาว่าพอเริ่มรายการก็โม้ เลย อิทธิคุณเขาว่ากันว่าคงกระพันชาตรีเหนียวดีนัก อันนี้ผมไม่เคยลองครับโบราณ ท่านว่ามาอย่างนี้ คุณลักษณะเด่นอีกเรื่องคือ ของนี้ค้ำคูณดวงชะตาเจ้าของคงจะถือนิมิตรนามมงคล ขนุน-หนุนเนื่องนั่นกระมัง

เคยมีเรื่อง เล่าว่า นายคำ บ้านอยู่สันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้โชคดีพบเม็ดขนุนทองแดงในลูกขนุนในสวนของแก ได้นำไปให้พระภิกษุรูปหนึ่งที่แกนับถือพิจารณา ซึ่งท่านก็ได้กำชับว่าเก็บให้ดีด้วยเป็นของวิเศษที่หายาก ท่านได้ลงคาถากำกับตามกรรมวิธีของท่าน ต่อมานายคำก็ทำการค้าขายร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆตาแกไปได้เมียแถวฝั่งพม่าเลยอพยพ ไปอยู่พม่า กับเมียนัยว่าแกมีอีกหลายคนฐานะแกก็ดีขึ้นโดยลำดับ คือแกขยันทำกินด้วยครับ กล่าวกันว่านายคำนี้หวงเม็ดขนุนนั้นมากจะพกติดตัวไม่ยอมห่างแกเชื่อว่านอก จากความ ขยันของแกแล้วเจ้าขนุนทองแดงนี่เอง ที่เป็นของนำโชคให้แก่พบแต่สิ่งดีดี

กำเนิดความเป็นมา เครื่องรางของขลัง

หากจะพูดถึงเรื่องเครื่องรางของขลัง เป็นเรื่องที่ลึกลับและกว้างขวาง ซึ่งในตำราพิชัยสงครามกล่าวว่า เครื่องรางของขลัง ที่นักรบสมัยโบราณจะมีติดตัวเป็นมงคลซื่งมีด้วยกันหลายชนิด และมีความเชื่อต่อเครื่องรางของขลังนั้นๆและพระคณาจารย์เหล่านั้นอย่างมั่นคงจะเห็นได้จากการสืบทอดสรรพตำรา ตกทอดกันมาเนิ่นนานทีเดียวซึ่งแบ่งออกไปตามประเภทย่อๆดังนี้

1.
ความเป็นมาจากตามธรรมชาติได้แก่ สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่มีการสรรค์สร้างซึ่งถือว่ามีดีในตัวและมีเทวดารักษา สิ่งนั้น ได้แก่ เหล็กไหล คดต่างๆ เขากวางคุดเขี้ยวหมูตัน เขี้ยวเสือ กลวง เถาวัลย์ ฯลฯ
2.
ส่วนของดีที่สร้างขึ้นมานั้น ได้แก่ สิ่งของที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เช่น แร่ธาตุต่างๆ ที่หล่อหลอมตามสูตร การเล่นแร่แปรธาตุ อันได้แก่ เมฆสิทธิ์ เมฆพัดเหล็กละลายตัว สัมฤทธิ์ นวโลหะ สัตตะโลหะ ปัญจโลหะ เป็นต้น ทั้งนี้คลุมไปถึงเครื่องราง ลักษณะต่างๆที่ได้รับการสร้างขึ้นมาเพื่อคุ้นกันภัยอันตราย


การแบ่งตามการใช้ดังต่อไปนี้

1.
เครื่องคาด อันได้แก่ เครื่องราง ที่ใช้คาดศีรษะ คาดเอว คาดแขน ฯลฯ
2.
เครื่องสวม อันได้แก่ เครื่องราง ที่ใช้สวมคอ สวมศีรษะ สวมแขน สวมนิ้ว ฯลฯ
3.
เครื่องฝัง อันได้แก่ เครื่องราง ที่ใช้ฝังลงไปในเนื้อหนังของคน เช่น เข็มทองตะกรุดทอง ตะกรุดสาลิกา (ใส่ลูกตา) และการฝังเหล็กไหล หรือ ฝังโลหะมงคล ต่างๆลงไปในเนื้อจะรวมอยู่ในพวกนี้ทั้งสิ้น
4.
เครื่องอม อันได้แก่เครื่องราง ที่ใช้อมในปาก อาทิเช่น ลูกอม ตะกรุดลูกอม (สำหรับในข้อนี้ไม่รวมถึงการอม เครื่องราง ชนิด ต่างๆ ที่มีขนาดเล็กไว้ในปากเพราะไม่เข้าชุด)

การแบ่งตามวัสดุดังนี้

1.
โลหะ
2.
ผง
3.
ดิน
4.
วัสดุอย่างอื่น อาทิ กระดาษสา ชันโรง ดินขุยปู
5.
เขี้ยวสัตว์ เขาสัตว์ งาสัตว์ เล็บสัตว์ หนังสัตว์
6.
ผมผีพรายผ้าตราสัง ผ้าห่อศพ ผ้าผูกคอตาย
7.
ผ้าทอทั่วๆไป


การแบ่งตามรูปแบบลักษณะดังนี้

1.
ผู้ชายอันได้แก่ รักยม กุมารทอง ฤาษี พ่อเฒ่า ชูชก หุ่นพยนต์ พระสีสแลงแงงและสิ่งที่เป็นรูปของเพศชายต่างๆ
2.
ผู้หญิง อันได้แก่ แม่นางกวักแม่พระโพสพ แม่ศรีเรือน แม่ซื้อ แม่หม่อมกวัก เทพนางจันทร์ พระแม่ธรณีและสิ่งที่เป็นรูปของผู้หญิงต่างๆ
3.
สัตว์ ในที่นี้ หมายถึงพระโพธิสัตว์ อาทิ เสือ ช้าง วัว เต่า จระเข้ งูดังนี้เป็นต้น


การแบ่งตามระดับชั้น ดังนี้

1.
เครื่องรางชั้นสูง อันได้แก่ เครื่องราง ที่ใช้บนส่วนสูงของร่างกายซึ่งนับตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงบั้นเอว สำเร็จด้วย พระพุทธคุณ พระธรรมคุณพระสังฆคุณ
2.
เครื่องรางชั้นต่ำ อันได้แก่ เครื่องราง ที่เป็นของต่ำอาทิ ปลัดขิก อีเป๋อ (แม่เป๋อ) ไอ้งั่ง (พ่องั่ง) ไม่ได้สำเร็จด้วยของสูง
3.
เครื่องรางที่ใช้แขวน อันได้แก่ ธงรูปนก รูปตั๊กแตน รูปปลา หรือกระบอกใส่ยันต์และอื่นๆ

เมื่อได้แบ่งแยกกันออกไปเป็นหมวดหมู่ย่อยๆ ออกไปให้เห็นกันง่ายๆแล้ว ทีนี้ก็จะจะมาพูดถึงว่าเขาสร้างเครื่องรางกันทำไมเรื่องนี้อธิบายได้พอสังเขปก็แล้วกันเรื่องก็มีอยู่ว่าเดิมทีนั้นโลกไม่มีศาสนาบังเกิดขึ้นมนุษย์ก็รู้จักกับปรากฏการณ์ของธรรมชาติเท่านั้นอาทิเช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า และ ดาวตกหรือแม้กระทั่ง ไฟ ดังนั้น เมื่อเห็น พระอาทิตย์ มีแสงสว่างก็เคารพแล้วเขียนภาพดวงอาทิตย์ไว้ในผนังถ้ำ เพื่อให้เกิด ความอบอุ่นใจในตอนกลางคืนเมื่อเขียนใส่ผนังถ้ำแล้วก็มาสลักลงบนหิน เพื่อติดตัวไปมาได้ ก็กลายเป็น เครื่องรางไปโดยบังเอิญ และเมื่อรู้จักไฟก็คิดว่าไฟเป็นเทพเจ้า ก็บูชาไฟ ทำรูปดวงไฟแล้วก็เปลี่ยนมาเป็นสิ่งประหลาด อาทิ นกที่มีรูปร่างประหลาด เป็นต้น

ต่อมาก็สร้างรูปเคารพของเทพต่างๆ และค่อยๆ เปลี่ยนรูปมาเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จาก
ประเทศ อียิปต์ กรีก โรมัน เพราะเป็นประเทศที่มี เครื่องราง มากมายดังนั้นเมื่อก่อนพุทธกาลราว 2,000 ปีเศษ ศาสนาพราหมณ์ถือเอาพระผู้เป็นเจ้าเป็นสรณะก็บังเกิดขึ้น พระผู้เป็นเจ้านั้นก็คือ พระศิวะพระนารายณ์ พระพรหม และ เมื่อต้องการความสำเร็จผลใน สิ่งใด ก็มีการสวด อ้อนวอนอันเชิญ ขออำนาจของ เทพเจ้าทั้งสามให้มาบันดาลผลสำเร็จที่ต้องการนั้นๆ

การกระทำดังกล่าวนี้จำต้อง มีที่หมายทางใจ เพื่อความสำรวมฉะนั้นภาพจำหลักของ เทพเจ้าทั้ง 3 ก็มีขึ้น จะเห็นได้จากรูปหะริหะระ ( HariHara ) แห่งประสาทอันเดต (Prasat Andet) ที่พิพิธภัณฑ์ เมืองพนมเปญ อันเป็นภาพจำหลักของพระนารายณ์ ใน ศาสนาพราหมณ์ กับ เทวรูปมหาพรหม แห่งพิพิธภัณฑ์กีเมต์ที่ประเทศฝรั่งเศส นับเป็นประติมากรรมที่สร้างขึ้นด้วยความมุ่งหมายเอาเป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวทางใจในศาสนาพราหมณ์ซึ่งเป็นศาสนาเก่าแก่ในประเทศอินเดียกาลต่อมาพระพุทธศาสนาก็บังเกิดขึ้นในโลก

โดย
พระบรมศาสดา (เจ้าชายสิทธัตถะ) เป็นผู้ทรงค้นพบอมตะธรรมวิเศษอันมีผู้เลื่อมใส่สักการะแล้วยึดเป็นสรณะ ดังนั้น พระพุทธองค์ ทรงมีพระสาวกตามเสด็จ ประพฤติปฏิบัติมากมายจนเป็นพระอสีติมหาสาวก ขึ้น ซึ่งท่านมหาสาวกเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ทรงไว้ ความเป็นเอตทัลคะ ในด้านต่างๆกัน มี พระสารีบุตรทรงความเป็นยอดเยี่ยมทางปัญญา ส่วน พระโมคคัลลานะทรงความเป็นยอดเยี่ยมทางอิทธิฤทธิ์ในพระพุทธศาสนานั้น ผู้ที่สำเร็จญาณสมาบัติได้ ต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ย่อมแสดงอิทธิฤทธิ์ ได้หลายอย่าง เป็นอเนกประการ อิทธิฤทธิ์ เหล่านี้ เรียกว่าอิทธิปาฏิหาริย์เป็นการกระทำที่สามัญชนไม่สามารถจะกระทำได้ดังมีหลักฐานปรากฏอยู่ใน พระไตรปิฎกมากมาย และพระคณาจารย์เจ้าผู้สำเร็จญาณสมาบัติ ท่านย่อมทรงไว้ซึ่งฤทธิ์



โดยที่พระพุทธองค์ ผู้เป็นเจ้าของ พุทธศาสนานั้น พระองค์ทรงไว้ด้วย พระคุณ 3 ประการคือ 1. พระเมตตาคุณ 2. พระปัญญาคุณ 3.พระบริสุทธิคุณ
ดังนั้นพระเถรานุเถระผู้ทรงไว้ด้วย ญาณสมาบัติก็มักจะใช้ฤทธิ์ของท่านช่วยมนุษย์และสัตว์โลก ซึ่งถือเอาหลัก พระเมตตาคุณเป็นการรอยพระยุคบาทแห่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระบรมศาสนานั่นเอง

ทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่ถกเถียงกันมานานแสนนานทีเดียว แต่ลงรอยกันไม่ได้นั่นก็คือคำว่า เครื่องรางกับ เครื่องลางซึ่งในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานเขียนว่า เครื่องรางอันหมายถึงเครื่องป้องกันภัยที่สำเร็จด้วยรางหรือร่องแต่สำหรับ นักนิยมสะสม เครื่องราง ระดับสากลนิยมจะเรียกว่าเครื่องลาง อันหมายถึง เครื่องที่ใช้เกี่ยวกับโชคลาง เพราะดั่งเดิมนั้น มนุษย์ทำของเช่นนี้ ขึ้นมา เพื่อป้องกัน เหตุร้ายที่เรียกว่า ลางซึ่งเป็นลางดีและไม่ดีแต่ก็เอาละเมื่อเขียนว่า เครื่องรางก็เอาตามพจนานุกรมนั่นแหละ

ควายธนูดีทางเผ้าบ้าน เฝ้าเรือน ทั้งป้องกันภูตผีและโจรผู้ร้าย


ควายธนู เป็นเครื่องรางตามความเชื่อทางไสยศาสตร์ ควายธนูนั้นสะท้อนให้เห็นระบบความเชื่อทางไสยศาสตร์ของสังคมเกษตรกรรม อันมีความผูกพันกับวัฒนธรรมข้าว ซึ่งเลี้ยงวัวควายไว้ใช้งานในด้านการเกษตร

วิชาเหล่านี้เป็นการทำหุ่นพยนต์รูปแบบหนึ่ง หุ่นพยนต์สามารถทำได้ทั้งรูปคนและสัตว์ ที่นิยมมีทั้งวัวธนูและควายธนูสามารถสร้างได้หลายวิธี เช่น สานจากไม้ไผ่ ปั้นด้วยดินผสมมวลสาร ปั้นจากขี้ผึ้งไปจนถึงหล่อขึ้นด้วยโลหะอาถรรพ์ เช่น ตะปูโลงศพเจ็ดป่าช้า ,เหล็กขนันผีพราย ,เหล็กยอดเจดีย์ เป็นต้น เอามาหลอมรวมกันหล่อเป็นรูปควาย บางสำนักใช้โครงเป็นไม้ไผ่แล้วพอกด้วยครั่งที่ได้จากต้นพุททรา

เมื่อทำควายธนูสำเร็จแล้วต้องปลุกเสกตามพิธีกรรม แล้วเลี้ยงไว้ให้ดีต้องหาหญ้าและน้ำเลี้ยงเสมอ เชื่อว่าสามารถใช้ให้เฝ้าบ้าน เฝ้าเรือน หรือไร่นาใช้งานได้ตามความประสงค์ ทั้งป้องกันภูตผีและโจรผู้ร้าย และสามารถสั่งให้ไปสังหารคู่อริได้อีกด้วย มีคาถาใช้เสก(คาถาควายธนู) เมื่อทำควายธนูว่า โอมปู่เจ้าสมิงไพร ปู่เจ้ากำแหงให้กูมาทำควายเชิญพระอีศวรมาเป็นตาซ้าย เชิญพระอาทิตย์มาเป็นตาขวา เชิญพระนารายณ์มาเป็นเขาเชิญพระอินทร์เจ้าเข้ามาเป็นหาง เชิญพระพุทธคีเนตร์พระพุทธคีนายมาเป็นสีข้างทั้งสอง เชิญพระจัตตุโลกบาลทั้งสี่ มาเป็นสี่เท้าเชิญฝูงผีทั้งหลายเข้ามาเป็นไส้พุง นะมะสะตีติ


ความเชื่อเรื่องควายธนูมีอยู่ทุกภาคของประเทศไทย บางท้องถิ่นเชื่อว่า ผู้เลี้ยงต้องดูแลอย่างดีหมั่นให้อาหารและปล่อยออกไปท่องเที่ยวจะประมาทหลงลืมไม่ได้ ไม่เช่นนั้นควายธนูจะหวนมาทำร้ายเจ้าของเสียเอง แต่บางแห่งก็ถือเป็นเสมือนเครื่องรางธรรมดาสำหรับใช้พกพาติดตัว

Pages