มวลสาร พระโพธิญาณ หลวงปู่ทองดำบรมครู
มวลสาร พระโพธิญาณ หลวงปู่ทองดำ บรมครูสายโพธิญาณ
ผู้รวบรวมมวลสาร ได้แก่ อ.เทพ เกษมพรรณราย
โดยมีพระอริยสงฆ์ ช่วยใช้ทิพยจักษุตรวจสอบมวลสารต่างๆก่อนที่จะนำไปใช้จัดสร้างพระ เพื่อคัดกรองเลือกแต่สิ่งที่ดีเป็นมงคลต่อผู้ครอบครอง ไม่มีการผสมผงพรายผงผีผงกระดูกหรือสิ่งของที่เป็นอัปมงคล ถ้าพูดถึงความแรงมวลสารบางชนิด ท่านบอกว่า แรงกว่าผงพรายซะอีก แต่เป็นความแรงด้านพุทธคุณไม่มีโทษใดๆกับผู้ครอบครอง
มวลสารชุดนี้ ส่วนที่เหลือหลังจากสร้าง พระโพธิญาณ ปี พ.ศ.2542 เสร็จสิ้นแล้ว อ.เทพ เป็นผู้เก็บรักษาไว้แต่เพียงผู้เดียว เนื่องจากมวลสารจำนวนมาก อ.เทพ เป็นผู้รวบรวมมวลสารเอง จากสถานที่สำคัญต่างๆ และยังไม่เคยนำออกมาใช้อีกเลย จึงกล่าวได้ว่า พระโพธิญาณรุ่นแรกนั้นมีมวลสารที่เป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากพระเครื่องรุ่นอื่นๆ และไม่มีใครสามารถสร้างซ้ำให้เหมือนเดิมได้
มวลสารหลัก (มวลสารที่มีจำนวนมากเป็นกระสอบเป็นกิโล) ที่นำมาจัดสร้าง พระผงโพธิญาณ และ ใช้อุดใต้ฐานพระกริ่งโพธิญาณ
* แผ่นจาร อักขระธรรม จำนวนมาก
* ผงพุทธคุณต่างๆ
* มวลสารของ หลวงปู่ประเคน จ.ปัตตานี ซึ่งได้สะสมมาหลายสิบปี
* มวลสารของ หลวงปู่หาน จ.หนองคาย (ศิษย์สำเร็จลุนที่ทันท่านบวชให้ที่ประเทศลาว)
* เกศา หลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร
* เกศา ครูบาอาจารย์
* เกศา หลวงพ่อญาท่าน พระครูปภัศรคุณ ( บุญเลิศ ปภสฺสโร) วัดป่าสามัคคีศิริพัฒนาราม
* เกศา หลวงปู่หาน จ.หนองคาย
* ผงว่าน ชุดเดียวกับที่ใช้สร้างหลวงปู่ทวด ปี 2497 จ.ปัตตานี
* ผงยาสมุนไพรเสก ของ หลวงพ่อญาท่าน พระครูปภัศรคุณ ( บุญเลิศ ปภสฺสโร)
* ผงไม้งิ้วดำ เทพนิมิต จากป่าลึกชายแดนประเทศ
* ดินกากยายักษ์ ของแท้ จากยอดเทือกเขาสันกาลาคีรี
* ดินจอมปลวก 7 เศียร
* ดินขุยปู ดีเด่นด้านเมตตามหานิยม การค้าขายทำกิน
* ปฐวีธาตุ ยอดภูลังกา ( หินนาคราช จากยอดภูลังกา )
* ปฐวีธาตุ จากถ้ำครูบาอาจารย์พระอริยเหนือโลก ในภูเขาควาย ประเทศลาว
* แร่ธาตุ ทนสิทธิ์ ชนิดต่างๆ
- ข้าวตอกพระร่วง
- เพชรหน้าทั่ง
- เต่าหิน จากเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ ประเทศลาว
- ดักแด้หิน
- คดหิน ชนิดต่างๆ
* เหล็กไหล ชนิดต่างๆ
- ไหลเพชรดำ
- เหล็กไหลตาแรด
- เหล็กไหลฤาษี
- เหล็กไหลเงินยวง
- โคตรเหล็กไหล
- เหล็กไหลเพลิง
- เหล็กไหลตาน้ำ
* และมวลสารรอง อื่นๆ อีกมากมาย (มวลสารรอง คือมวลสารที่มีจำนวนไม่มาก เช่น อาจมีเพียงกระปุกเล็กๆ )
รายละเอียดของมวลสารหลัก
ผงว่านชุดเดียวกับที่เคยใชัจัดสร้าง พระหลวงปู่ทวด ปี พ.ศ.2497 จ.ปัตตานี
เป็นมวลสารที่ศักดิ์สิทธิ์ ดีจริง และมีมูลค่าสูงตามค่านิยมของพระหลวงปู่ทวด ปี 2497 ซึ่งเป็นที่นิยมของนักสะสม ในช่วงที่มีการจัดสร้าง พระหลวงปู่ทวด ในปี พ.ศ.2497 หลวงปู่ประเคน จ.ปัตตานี ท่านเป็นบุคคลหนึ่งที่ร่วมแรงในการจัดสร้างช่วยหามวลสารต่างๆมาจัดสร้างพระ โดยได้เก็บรักษาผงว่านชุดดังกล่าวไว้จำนวนหนึ่ง ในภายหลังท่านได้นำกลับมาที่วัดหนองเลา ซึ่งเป็นวัดที่ท่านได้บรรพชาอุปสมบท และ อ.เทพ ได้รับมอบผงว่านชุดนี้ประมาณครึ่งกระสอบปุ๋ยให้นำมาจัดสร้างพระโพธิญาณเนื้อผงและอุดใต้ฐานพระกริ่ง
สำหรับการจัดสร้างพระเครื่องทั่วไปนั้น ผงว่านปี2497 ถือว่าเป็นมวลสารหายากและมีราคาสูง เพียงหนึ่งช้อนโต๊ะก็มีคนนำมาใช้เป็นหัวเชื้อผสมสร้างพระเครื่องกันเป็นหมื่นองค์ แต่พระโพธิญาณรุ่นนี้ใช้ผงว่านปี2497 จำนวนมากถึงครึ่งกระสอบปุ๋ยมาเป็นมวลสาร แค่คำนวณราคาต้นทุนของผงว่านปี2497 นับว่าสูงมากและยากที่จะประเมินราคาต้นทุนได้
กล่าวได้ว่า พระเครื่องที่สร้างโดยใช้ผงว่านปี2497 จำนวนมากขนาดนี้เป็นมวลสาร ในอนาคตยากที่จะหาได้ ใครมีโอกาสได้ไว้บูชาควรเก็บรักษาไว้เป็นมรดกสืบต่อไป
ดินกากยายักษ์ จากยอดเทือกเขาสันกาลาคีรี
ดินกากยายักษ์ ที่ใช้ในการสร้างพระโพธิญาณ รุ่นแรก ปี พ.ศ. 2542 นำมาจากยอดเทือกเขาสันกาลาคีรี โดยลูกศิษย์หลวงปู่ประเคน จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นตำรวจตระเวนชายแดนที่เกษียณอายุแล้วท่านหนึ่ง น่าเสียดายด้วยกาลเวลาที่ผ่านมายาวนานทำให้จำชื่อของท่านไม่ได้ ตลอดจนกล่องพัสดุไปรษณีย์ที่ส่งมานั้นได้เสียหายไปในช่วงน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพจึงไม่สามารถระบุชื่อของ ต.ช.ด ท่านนี้ได้
ต.ช.ด.ท่านนี้เคยร่วมในทีมการหามวลสารสร้างพระหลวงปู่ทวดในปี 2497 ท่านได้ทราบข่าวการจัดสร้างพระโพธิญาณรุ่นแรก และปรารถนาจะร่วมบุญด้วย จึงได้เดินป่ากลับไปยังจุดเดิมในสมัยปี 2497และขุดดินกากยักษ์ใส่เป้สะพายหลังกลับมาเพื่อร่วมสร้างพระโพธิญาณ รุ่นแรก ถึงแม้จะได้มาจำนวนจำกัดตามขนาดเป้สะพายหลัง แต่เป็นดินกากยายักษ์ของแท้ที่ดีจริงและศักดิ์สิทธิ์จริงตามแบบโบราณ ไม่ใช่ดินกากยายักษ์ที่มีขายกันทั่วไปแบบปัจจุบันที่อยากจะซื้อจำนวนเท่าไรก็มีขาย
ดินกากยายักษ์ของแท้นั้น ไม่ใช่ของที่จะได้มาโดยง่าย ต้องเดินเท้าขึ้นยอดเขาไปขุดมา ที่มีใส่กระสอบขายๆกันทั่วไปนั้นยังไม่ใช่ของแท้ เป็นดินอาถรรพณ์ประเภทอื่น คุณภาพสู้ของแท้ไม่ได้ ยังห่างชั้นกันมาก
ในปัจจุบันคาดว่า ผู้ที่รู้พิกัดที่แท้จริงในการไปขุดดินกากยักษ์จุดเดียวกับ ปี พ.ศ.2497 นั้นอาจหาไม่ได้แล้ว ด้วยกาลเวลาที่ผ่านมายาวนาน นับกันคร่าวๆ ปี พ.ศ. 2497 ถึง 2542 เป็นเวลา 45 ปี คนๆหนึ่งกว่าจะเป็น ต.ช.ด.ได้ ก็อย่างน้อยต้องมีอายุ 20 กว่าปี สมมุติว่าเมื่อ ปี พ.ศ. 2497 มี อายุ 25 ถึง 40 ปี ... ณ ปี พ.ศ. 2542 ก็จะมีอายุอย่างน้อย 70 ถึง 85 ปี ซึ่งนับว่าสูงมากแล้วกับการเดินป่า ปีนเขา แบกของหนัก
ดินกากยายักษ์ที่เหลือจากการสร้างพระโพธิญาณรุ่นแรก ซึ่งมีจำนวนไม่มากนั้น อ.เทพ เก็บรักษาไว้เพื่อใช้ในงานบุญงานกุศลในอนาคต
ผงไม้ เทพนิมิต
ผงไม้เทพนิมิต อ.เทพ เกษมพรรณราย นำมาร่วมสร้างพระโพธิญาณรุ่นแรก จำนวนหนึ่งกระสอบใหญ่
ผงไม้เทพนิมิต เป็นไม้มงคลมีเทพสถิตย์รักษา ได้มาจากป่าลึกในเขตดินแดนประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีเทพที่ประสงค์จะร่วมสร้างบุญบารมีได้มาบอกข้อมูลผ่านทางนิมิตถึงสามครั้งซ้ำๆกันว่า ให้ไปนำไม้สีดำต้นนี้มาจากในป่าลึกเพื่อใช้ในการสร้างพระ ซึ่งการเดินทางไปนั้นต้องใช้พรานป่าช่วยนำทางไปค้นหา เมื่อไปถึงสถานที่ตามในนิมิตแล้วทีมงานได้ใช้เวลาค้นหาทั้งวันแต่ไม่สามารถค้นพบต้นไม้สีดำตามเทพนิมิต
ในวันรุ่งขึ้นทีมงานจึงตั้งบายศรี ทำพิธีบอกกล่าวและทำบุญถวายกุศลต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อารักขาไม้เทพนิมิต อัญเชิญให้มาร่วมสร้างบารมี สร้างพระร่วมกัน หลังจบพิธีแล้วกรวดน้ำลงแผ่นดิน เกิดเหตุอัศจรรย์ ปรากฎภาพหญิงสาวห่มผ้าสไบยืนอยู่ในจุดที่ห่างออกไปเล็กน้อย แล้วภาพหญิงสาวก็หายไป กลายเป็นต้นไม้สีดำยืนโดดเด่นอยู่ตรงสถานที่นั้น ทางทีมงานจึงได้อัญเชิญไม้เทพนิมิตนี้นำกลับมาสร้างพระ ไม้ชุดนี้มีสีดำสนิทและมีกลิ่นหอมมากๆ กลิ่นหอมเย็นชื่นใจแปลกกว่าไม้สีดำอื่นๆที่เคยพบมา กล่าวได้ว่า นอกจากเป็นของดีที่หาได้ยากแล้ว ยังต้องใช้ทั้งกำลังกาย กำลังใจ เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต และทุนทรัพย์จำนวนมากในการอัญเชิญไม้เทพนิมิตนี้ออกมาจากป่าลึกในเขตดินแดนประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งแน่นอนว่าการเดินทางและกระทำการใดๆในเขตประเทศอื่นนั้น มีอันตรายและความเสี่ยงสูง
ปฐวีธาตุ ยอดภูลังกา ( หินนาคราช จากยอดภูลังกา )
ปฐวีธาตุจากยอดสุดของภูลังกา อ.เทพ เกษมพรรณราย นำมาร่วมสร้างพระ จำนวนหลายกิโล
ภูลังกา เป็นป่าและภูเขาที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ และเป็นที่ทราบกันดีในกลุ่มผู้ฝึกปฏิบัติทางจิตวิญญาณว่าเป็นหนึ่งในดินแดนอาถรรพณ์ มีความศักดิ์สิทธิ์ มีสิ่งลี้ลับมากมาย ณ จุดหนึ่งบนยอดภูลังกาจะมี โพรงขนาดใหญ่ ลึกดิ่งลงไปในภูเขา มืดมิด ความลึกยากหยั่งถึง
ปากโพรงนี้อยู่บนยอดสุดของภูลังกา ณ ปากโพรงจะมีหินก้อนเล็กๆตกเกลื่อนอยู่ ความแปลกอยู่ตรงที่ว่า ถึงแม้จะปัดกวาดบริเวณปากโพรงจนสะอาดดีแล้ว เพียงแค่วันรุ่งขึ้นก็กลับมีหินก้อนเล็กๆกลับมาเกลื่อนอีก หินเหล่านี้มาจากไหน ทั้งๆที่เป็นจุดสูงสุดแล้วไม่มีหินจากที่ไหนกลิ้งลงมาได้ อยู่ในป่าลึกที่ไม่มีใครเดินผ่านไปมา โดยรอบก็เป็นลานหินโล่งๆและไม่มีหินประเภทนี้ให้เห็น จะมีเฉพาะที่ปากโพรงนี้เท่านั้น
มีผู้รู้ทางจิตบอกว่า โพรงนี้ลึกลงไปถึงใต้โลกเชื่อมต่อกับโลกพญานาค หินที่ปากโพรงนี้เป็นหินจากนาคพิภพ ถึงแม้จะยังไม่ได้เสกก็มีความขลังศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ แถมยังมีดวงจิตบางอย่างสถิตย์รักษาอยู่ สามารถติดต่อสื่อสารทางจิตพูดคุยกันได้ หากเสกแล้วหินนี้จะยิ่งเพิ่มพูนพลังอำนาจ กล่าวกันว่า พระอริยสงฆ์ในอดีต เช่น หลวงปู่พิบูลย์ บ้านแดง จะเก็บหินเหล่านี้นำไปอธิษฐานจิตแล้วแจกจ่ายชาวบ้าน เป็นของดีที่เรียกว่า ปฐวีธาตุยอดภูลังกา
ปฐวีธาตุยอดภูลังกา ชุดนี้ อ.เทพ เกษมพรรณราย ได้ร่วมเดินทางกับคณะและพระสงฆ์ผู้ทรงจิตอภิญญา ปีนยอดภูลังกา เดินป่าหลายวันเพื่อฝึกจิตสมาธิ ระหว่างพำนักปฏิบัติธรรมบนยอดภูลังกา ได้บอกกล่าวขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์เก็บปฐวีธาตุมาจำนวนหลายกิโล ซึ่งต้องแบกน้ำหนักหลายกิโลเดินป่า ปีนหน้าผาสูงชัน บางช่วงสูงเทียบเท่าตึกหลายสิบชั้นด้วยความยากลำบากและเสี่ยงอันตราย กล่าวได้ว่า เป็นมวลสารที่เสี่ยงแลกมาด้วยชีวิต จึงถือเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้
เมื่อได้นำปฐวีธาตุกลับมาตรวจสอบทางจิต ได้รับการยืนยันว่าเป็นของดีจริง อ.เทพจึงได้นำมาเป็นมวลสารในการสร้างพระโพธิญาณรุ่นแรกนี้
ปฐวีธาตุ จากถ้ำครูบาอาจารย์พระอริยเหนือโลก ในภูเขาควาย ประเทศลาว
ปฐวีธาตุ จากถ้ำครูบาอาจารย์ พระอริยเหนือโลก ในภูเขาควาย ประเทศลาว เป็นมวลสารที่ อ.เทพ เกษมพรรณราย ได้มาเมื่อครั้งเดินทางไปปฏิบัติธรรมฝึกจิต ณ ภูเขาควาย ประเทศลาว โดยการนำทางของพระอริยสงฆ์ของประเทศลาว
ภูเขาควาย ประเทศลาว ถือว่าเป็นหนึ่งในดินแดนที่คงความศักดิ์สิทธิ์มาหลายยุคหลายสมัย พระอริยสงฆ์ที่ปฏิบัติธรรมเดินธุดงค์ ฝึกจิต เช่น หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และครูบาอาจารย์อีกนับไม่ถ้วน ล้วนต่างเดินทางผ่านมาในดินแดนนี้
เขตภูเขาควาย มีเทือกเขาสลับซับซ้อนและมีถ้ำเป็นจำนวนมาก ทางคณะ อ.เทพ ได้เดินทางเข้าไปในถ้ำที่รับทราบมาว่าเป็นเขตของครูบาอาจารย์ เมื่อเข้าไปลึกพอสมควร ภายในถ้ำพบลำธารขนาดใหญ่ไหลผ่านลงไปใต้ภูเขาลึกสุดหยั่ง มีแอ่งน้ำขนาดใหญ่พอๆกับสระว่ายน้ำ ที่น่าแปลกคือ น้ำมีอุณหภูมิหลายระดับ น้ำบางส่วนเย็นเฉียบจนสะท้าน บางส่วนกลับอุ่นสบายๆ อีกสิ่งที่น่าสนใจคือทุกคนที่ลงไปแช่ในน้ำล้วนมีความรู้สึกตรงกันว่า หลังจากแช่น้ำแล้วรู้สึกสดชื่น หายเหนื่อย เหมือนพลังฟื้นฟูขึ้นมาทันที แต่ด้วยความมืดมิดภายในถ้ำทำให้ลำธารสายนี้ กลับดูลึกลับน่ากลัว มากกว่าน่าสนุกที่ได้ลงว่ายน้ำ
พระอริยสงฆ์ที่มาด้วย ท่านอนุญาตให้ลงอาบน้ำและเล่นน้ำได้ จากนั้นท่านก็เดินขึ้นไปทางต้นน้ำที่น้ำไหลผ่านลงมา
ขณะที่เกือบทุกคนกำลังสนใจอยู่กับแอ่งน้ำ และกระแสน้ำของลำธารที่ไหลผ่าน มีบุคคลหนึ่งในคณะเดินทางได้เดินขึ้นไปทางต้นน้ำ เป็นโขดหินสูงที่น้ำไหลลงมา เมื่อปีนขึ้นไปเขาได้เห็น งูยักษ์ มีหงอนสีแดง ตาสีแดง โดนกักบริเวณอยู่ที่ต้นน้ำ บุคคลท่านนี้ขณะนั้นรับราชการเป็นนายทหารยศนายพัน ( ปัจจุบันเป็น นายพลเกษียณราชการ ) เมื่อเห็นแล้วเขาก็เงียบไว้ไม่บอกใคร กลัวจะเกิดการแตกตื่นตกใจ รอจนกลับถึงที่พักแล้วจึงเล่าให้คนอื่นฟังในภายหลัง บุคคลที่กักบริเวณงูยักษ์ไว้ชั่วขณะหนึ่งนั้นก็คือ พระอริยสงฆ์ที่ช่วยนำทางให้พวกเรานั่นเอง
ถึงคนอื่นจะไม่เห็นพญานาคตัวเป็นๆ แต่ภายในถ้ำก็พบเห็น เหมือนรอยเลื้อยของสัตว์ขนาดใหญ่ที่พื้นถ้ำ เมื่อวิเคราะห์จากร่องรอยคาดกันว่า สัตว์ที่ทำให้เกิดรอยนี้ขึ้นมาน่าจะมีขนาดลำตัวกว้างพอๆกับ ถังน้ำมันขนาด 200ลิตร
ภายในถ้ำลึกนี้ เราได้ทำพิธีขอเก็บมวลสารจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็น ปฐวีธาตุ และ หินแก้วผลึกใส มาจำนวนหนึ่ง แต่จำนวนไม่มากนัก เพราะมีข้อจำกัดในการนำออกนอกประเทศตรงด่านชายแดน มีความเสี่ยงสูง ถ้าเกิดผิดพลาดก็จะไม่ได้กลับมาเมืองไทยโดยง่าย เรียกว่าข้ามชายแดนมาด้วยใจเต้นระทึก ใครไม่ลองเองคงยากที่จะเข้าใจ
เมื่อเดินทางกลับถึง ประเทศไทยแล้ว ทางคณะได้แวะเยี่ยมนมัสการ หลวงพ่อญาท่าน พระครูปภัศรคุณ ( บุญเลิศ ปภสฺสโร) วัดป่าสามัคคีศิริพัฒนาราม ได้กราบเล่าเรื่องราวของการเดินทางไปภูเขาควายให้ท่านทราบ ซึ่งท่านได้ยืนยันว่า บริเวณถ้ำที่ทางคณะเดินทางไปนั้นเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาแต่โบราณ ณ ปัจจุบันก็ยังมีพระอริยเจ้าบำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมอยู่เป็นจำนวนมาก แต่คนธรรมดาจะไม่สามารถพบเห็นได้โดยง่าย สมัยที่หลวงพ่อญาท่านยังเป็นพระหนุ่มไปธุดงค์แถวนั้น ยังต้องปฏิบัติจริงจัง นั่งสมาธิอดข้าวอดน้ำอยู่ถึง 7 วัน ประตูมิติถึงเปิด ได้พบเห็นพระอริยเจ้าจำนวนมาก ณ สถานที่แห่งนั้น แต่ละท่านล้วนแต่มีอายุขัยหลายร้อยปี มากกว่ามนุษย์ในสมัยปัจจุบัน
อ.เทพ ได้นำปฐวีธาตุจากภูเขาควาย ให้หลวงพ่อญาท่านพิจารณา และถามว่า " หลวงพ่อครับ สิ่งนี้คือ พระธาตุ ใช่หรือไม่ครับ "
หลวงพ่อญาท่าน มองพิจารณาดูชั่วครู่ แล้วพยักหน้า ซึ่งเราคาดเดาว่าหมายถึง " ใช่ "
อ.เทพ สอบถามต่่อว่า " ไม่ทราบว่า เป็นพระธาตุ สรีระส่วนไหนเหรอครับ หลวงพ่อ "
หลวงพ่อญาท่าน ไม่ตอบ แต่ใช้มือทั้งสองข้าง ตบแขน ตบขา ของตัวท่านเอง หลายครั้ง เกิดเป็นเสียงดังมาก ดังผิดปกติจนหลายคนในคณะสะดุ้งตกใจ เสมือนบอกใบ้เป็นนัยว่า คือ สรีระส่วนแขน ส่วนขา พร้อมพูดว่า " อย่าไปยึดติด ขอให้ตั้งใจฝึกจิต ปฏิบัติภาวนา "
หลังจากได้นำปฐวีธาตุจากภูเขาควายมาตรวจสอบด้วย ทิพยจักษุ ได้รับการยืนยันว่าเป็นของดี ของศักดิ์สิทธิ์ที่หาได้ยาก จากถ้ำครูบาอาจารย์จริง และได้รับคำแนะนำให้เก็บรักษาบูชาไว้ให้ดี ครูบาอาจารย์จะอำนวยพรให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง และ อ.เทพได้นำปฐวีธาตุจากภูเขาควายมาผสมเป็นมวลสารในการจัดสร้างพระโพธิญาณรุ่นปี พ.ศ.2542 ด้วย
ยังมีเขียนต่อ To Be Continued
ท่านสามารถ ร่วมสนทนา สอบถาม เล่าประสบการณ์ ได้ที่กระทู้ตามลิงค์ข้างล่าง